1. ลองสตาร์ท ติดแล้ว ลองถอดสายชาร์ตจากตัวแปลงไฟที่เข้าแบตออก
1.1 เมื่อบิดเล็กน้อย หากดับ แสดงว่าชาร์ตไม่เข้า
1.2 เมื่อบิดเล็กน้อย หากไม่ดับ แสดงว่าชาร์ตพอได้
1.3 หากไม่บิด (รอบเดินเบา) หากไม่ดับ แสดงว่าชาร์ตดี
1.4 หากบิดเล็กน้อยและเปิดไฟหน้า หากไม่ดับแสดงว่าดีมาก
(หากชาร์ตดี เวลามือจับที่สายไฟที่ออกตัวชาร์ตแล้วจับโครงรถ จะรู้สึกว่าไฟดูดเล็กน้อย)
ถ้าจะให้แน่นอน ลองใช้คีบแอมป์ คีบที่สายไฟที่ออกจากตัวชาร์ต จะได้ประมาณ 4-6 แอมป์
การวัดแรงดันไฟ (โวลต์) DC ที่ออกจากตัวชาร์ตไฟ อย่างเดียวไม่ถูกต้อง เพราะบางครั้งคอยล์มัดไฟลงกราวน์ มีโวลต์ออก 13 DC V. แต่แอมป์ไม่มี ก้อชาร์ตไม่ดี
2. มัดไฟ ควรวัดแรงดันไฟและแอมป์ ย่าน AC ก่อนเข้าตัวแปลงไฟ หากรอบเดินเบาควรมีค่า 13-15 VAC.
และ 4-5 A.
3. วัดค่าความต้านทานของขดลวดมัดไฟกับสายคอมมอน แต่ละเส้นตวรมีค่า 1.0-0.5 โอมม์ และแต่ละเส้นวัดกับตัวโครงต้องไม่ลงกราวนด์ หากลงกราวนด์จะมีมีกระแสไฟออก : ไฟฟ้าที่รถใช้จะใช้กระแสไฟ
4. การต่อสายจากมัดไฟ (มี 3 เส้น) ต้องต่อให้ถูกต้อง ที่ตัวแปลงไฟมี 2 ขั้ว
4.1 สายคอมมอนของมัดไฟ (สายที่รวมจากแต่ละชุด เป็นหลักการของ AC DYNAMO) เข้าที่ขั้วที่ 1
4.2 สายใดก็ได้ แนะนำสายที่มี 2 คู่ เข้าขั้วที่ 2
4.3 สายที่เหลือ เข้าสวิทช์กุญแจแก๊กกลางคืน เพื่อต่อ HE-DY เพื่อเพิ่มกระแสไฟเวลาขับตอนดึก
5. แบต ควรเปลี่ยนแบตใหม่ เพื่อลดการหาสาเหตุ
6. ล้อแม่เหล็กควรมีแรงเหนี่ยวนำ (แรงดูด) สูง เพื่อเพิ่มการสร้างกระแสไฟ
7. ตัวแปลงไฟควรใช้แบบบริดไอโอด เพราะเคยลองวัดโวลต์ออกดีกว่าแบบธรรมดา
สายไฟต้องไม่ลงกราวด์
ผมแก้ไขและหาสาเหตุเองโดยศึกษาจากคู่มือการซ่อม ปกติรถใช้งานได้ดีมาก 6V.
ลองดูนะครับ
Bookmarks