อยากเห็นรูปความเป็นมาจักรยานในสยามครับ ใครมีแบ่งกันชมบ้าง
                                
หน้าที่ 1 จากทั้งหมด 3 หน้า 1 2 3 หน้าสุดท้ายหน้าสุดท้าย
กำลังแสดงผล 1 ถึง 15 จากทั้งหมด 37

ชื่อกระทู้: อยากเห็นรูปความเป็นมาจักรยานในสยามครับ ใครมีแบ่งกันชมบ้าง

  1. #1

    มาตรฐาน อยากเห็นรูปความเป็นมาจักรยานในสยามครับ ใครมีแบ่งกันชมบ้าง



    เนื่องจากช่วงนี้ผมตกงาน โปรเจ็คก็ยังไม่ผ่านสักที

    เบื่อๆ ไม่มีอะไรทำให้จรรโลงใจเท่ารถถีบ ฒ

    ผมเลยตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาเพราะยากเป็นสื่อกลาง แบ่งปันความรู้

    และความเพลิดเพลิน ให้แก่คนรักรถจักรยานด้วยกัน

    ไม่รู้ผิดกฎหน้าข้อมูลหรือเปล่านะครับ

    รูปข้างล่างนี้อ้างอิงจากเวปเพื่อนบ้านครับ คลิก













    รูป รูป  
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย new_hudson : 28-05-2010 เมื่อ 13:05
    โบ ร า ณ ข า แร งส์
    Vintage Racing

    "หลังองค์พระปฏิมา มีที่ว่างเสมอ "


  2. #2

    มาตรฐาน ประวัติ ความเป็นมา จักรยานในสยาม

    Name:  Nara001.jpg
Views: 1848
Size:  5.5 KB

    พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์


    ประวัติ ความเป็นมา จักรยาน
    รถจักรยาน เป็นพาหนะทางบกที่ขับเคลื่อนไปโดยกำลังของกล้ามเนื้อ มนุษย์ รถจักรยานนอกจากจะต้องเบา ก็จะต้องมีความฝืดที่เกิดขึ้นระหว่าง ล้อกับพื้นดินน้อยที่สุด และอาจจะเพิ่มความเร็วให้มากขึ้นได้พอสมควร
    ก่อนพุทธศักราช 2300 ปี ชาวจีนได้ประดิษฐ์ยานพาหนะทางบกที่มีลักษณะคล้ายรถจั กรยานขึ้น และต่อมาชาวอียิปต์ และอินเดียก็ได้ประดิษฐ์ขึ้นเช่นเดียว กันแต่ไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับลักษณะรูปร่าง
    ในปี ค.ศ. 1790 ชาวฝรั่งเศษชื่อ Count Mede de Sivrac ได้ประดิษฐ์ยานพาหนะคล้ายรถจักรยาน ประกอบด้วยล้อ 2 ล้อ เชื่อมกันด้วยไม้ ทำเป็นรูป คล้ายหลังม้า หรือหลังสัตว์ต่างๆ และเคลื่นที่ไปข้างหน้าด้วยการไสด้วยเท้า ใช้ชื่อยานพาหนะนี้ว่า Celerifere หรือ Velocifere มาจากภาษาลาติน Cefer แปลว่า เร็ว และ Fere แปลว่า บรรทุก
    ต่อมาในระหว่างปี ค.ศ. 1816 - 1818 Baron Karl Friedrich von drais de Sauerbrun ชาวเยอรมันได้ปรับปรุง Celerifere ด้วยการเพิ่มอุปกรณ์ สำหรับบังคับทิศทาง และมีที่นั่งที่มีสปริง และถือว่าเป็นรถจักรยานคันแรก ของโลก
    ในฝรั่งเศษ ได้นำมาใช้ และให้ชื่อว่า Draiseinne เพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ที่ได้ ประดิษฐ์ขึ้น ศาสตราจารย์ David Gordon Wilson แห่ง MIT ได้กล่าวว่า von Drais เป็นผู้ประดิษฐ์จักรยานคันแรกของโลกสำหรับในอังกฤษ ไม่เห็นด้วยกับชื่อที่ฝรั่งเศษได้ตั้งขึ้น และตั้งชื่อใหม่ว่า "Hobby horse หรือ Danny horse" ในปี ค.ศ. 1820 von Drais ได้ทำสถิติขึ้นเป็นครั้งแรกในประวิติศาสตร์ของรถจักร ยาน โดยขี่ระหว่างเมือง Beaume กับเมือง Dijon ด้วยความเร็ว ชั่วโมงละ 15 กิโลเมตร
    ในปี ค.ศ. 1821 นักประดิษฐ์ชาวอังกฤษ ชื่อ นาย Louis Gompertz ได้ปรับปรุง Draisienne โดยใส่เกียร์และสลักที่ล้อหน้า แต่ยังคงใช้เท้าไสไปบนพื้น ถ้า ใครที่ขาแข็งแรงดีก็สามารถทำความเร็วได้ 16 - 22 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
    ต่อมาในปี ค.ศ. 1839 Kirkpatrick MacMillan ช่างทำเกือกม้าชาวสกอตซ์ ได้เปลี่ยน hobby horse มาเป็นรถจักรยาน โดยเลิกการใช้เท้าไสไปบนพื้นดิน และใส่ก้านบันไดที่ล้อหน้าผู้ขี่จะปั่นลูกบันไดและบั งคับตัวรถโดยเท้าไม่ ต้องแตะพื้นดิน ทำให้มีรูปร่างคล้ายรถจักรยานมากขึ้น
    ในปี ค.ศ. 1860 สองพี่น้อง Pirre และ Ernest Michaux ชาวฝรั่งเศษ ได้ประดิษฐ์รถจักรยานที่มีล้อหน้าและล้อหลังเกือบเท่ ากัน และใช้ กำลังขับเคลื่อนโดยการติดตั้งก้านบันไดที่ดุมล้อหน้า เรียกว่า Velocipede
    Pierre Lallement ซึ่งแยกตัวออกจากครอบครัว Michaux และได้ต่อ Velocipede ขึ้น และได้รับความนิยมมาก ชาวอเมริกัน ให้ฉายาว่า boneshaker
    ต่อมาถึงช่วงของผู้ประดิษฐ์ ยอดเยี่ยมชาวอังกฤษชื่อ James Starley ได้ปรับปรุงตามแบบ boneshaker ของ Michaux และภายหลังได้รับ ความสำเร็จในการประดิษฐ์รถจักรยานที่เรียกว่า "Penny Farthing" (เหรียญบาท กับเหรียญสลึง) คือล้อหน้าเหมือนเหรียญ เพ็นนีของอังกฤษ และล้อหลังเล็กเหมือนเหรียญฟาร์ทิง
    เนื่องจากรถจักรยานเหรียญบาท และเหรียญสลึงค่อนข้างอันตราย ในปี 1879 H.J. Lawson ได้ประดิษฐ์รถจักรยานนิรภัย ขับเคลื่อนล้อหลัง แต่ไม่ได้ประดิษฐ์สู่ตลาด ต่อมาในปี ค.ศ.1884 James Starly ได้ประดิษฐ์ รถจักรยานแบบนิรภัย ซึ่ง ประกอบด้วยล้อหน้าและล้อหลังเท่ากัน และโซ่โยงไปกับล้อหลัง
    ในปี ค.ศ. 1880 Humber และคณะได้ผลิตรถจักรยานตัวถังเป็นรูปขนมเปียกปูน ซึ่งเป็นแบบอย่างของจักรยานสมัยปัจจุบันนี้
    ในปี ค.ศ. 1984 การแข่งขันจักรยานยนต์ในกีฬาโอลิมปิก สหรัฐอเมริกา ได้มีการวิวัฒนาการจักรยานมากที่สุด ตัวถังรถจักรยานเปลี่ยนจากสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน เป็นรูปสามเหลี่ยม ให้กับทีมจักรยานแบบทีมเปอร์ซูทของสหรัฐฯ ใช้ในการแข่งขัน กีฬาโอลิมปิก ความจริงการวิวัฒนาการนี้มิได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก มอนเต้ แห่งศูนย์วิทยาศาสตร์การกีฬาของอิตาลี ได้ประดิษฐ์จักรยานรูปสามเหลี่ยมให้ ฟรังเดสโก้ โมเชอร์ เวลา 60 นาที สามารถขี่ได้ระยะทาง 50.644 กม. ที่สนาม ในร่มเมืองสตุตการ์ท เยอรมันตะวันตก
    จักรยานเข้ามาแพร่หลายในประเทศไทยในสมัยรัชกาลที่ 5 มีการประชุมรถจักรยานเป็นครั้งแรกที่วังบูรพาภิรมย์ เนื่องในโอกาส ที่กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถเสด็จกลับจากยุโรป พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จ พระราชดำเนิน เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ.2442
    ในปัจจุบันมีจักรยานหลายชนิด มีตั้งแต่ 1 ล้อ ไปจนถึงหลายล้อ หรือจักรยานที่มีการดัดแปลงแบบแปลกๆ เช่น มีล้อหน้าใหญ่ แต่ล้อหลังเล็ก จักรยานยัง เป็นเครื่องมือในการแข่งขันกีฬาประเภทหนึ่งด้วย


    มันมีประวัติหลายแหล่งอ้างอิงจาก


    ๑.ชมรมจักรยานโบราณยะลา คลิก
    ๒.แรกมีรถถีบในสยาม คลิก
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย new_hudson : 31-05-2010 เมื่อ 10:20
    โบ ร า ณ ข า แร งส์
    Vintage Racing

    "หลังองค์พระปฏิมา มีที่ว่างเสมอ "


  3. #3

    มาตรฐาน ปลุกกระแสต่อไป

    ประวัติช้างสามเศียร ตำนานช้างเอราวัณ (Erawan in Ramakien)
    ในเรื่องรามายณะ และ ความเชื่อของศาสนาฮินดู กล่าวถึงพระอินทร์มีร่างสีเขียว มีพาหนะเป็นช้าง ๓ เชือก เชือกหนึ่งพระศิวะเป็นผู้ประทานให้ชื่อว่า เอราวัณ เชือกหนึ่งพระพรหมป็นผู้ประทานให้ชื่อว่า คีรีเมขล์ไตรดายุค และอีกเชือกหนึ่งพระวิษณุเป็นผู้ ประทานให้ชื่อว่า เอกทันต์ ช้างเอราวัณเป็นช้างที่มีพละกำลังมากที่สุดในหมู่ ช้างทั้ง ๓ เชือก และเป็นที่โปรดปรานมากที่สุด ของพระอินทร์ เชื่อกันว่าช้างเชือกนี้เป็นเทพบุตรองค์หนึ่ง เมื่อพระอินทร์ต้องการจะเสด็จ ไปไหนเอราวัณเทพบุตร ก็จะแปลงกายเป็นช้างเผือก ขนาดสูงกว่าภูเขาเอเวอร์เรสต์ มี ๓๓ เศียร แต่ละเศียรมีงา ๗ งา งาแต่ละงายาวถึง ๔ ล้านวา

    ส่วนจักรยานโบราณผมยังหาข้อมูลไม่ได้ พอดีว่าส่วนตัวผมชอบของหลายอย่าง เหรียญช้างสามเศียรก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ผมไฝ่ฝันมาน านมากแล้ว แต่บุญญาวาสนาคงไม่ถึงที่จะได้ครอบครอง
    หรียญกษาปณ์ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้โรงกษาปณ์ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสผลิต เพื่อนำมาใช้หมุนเวียนแทนเงินตรารุ่นเก่า ในการนี้ได้เปลี่ยนตราแผ่นดินเป็นตราไอราพต ซึ่งหมายถึง สยามเหนือ สยามกลาง สยามใต้ และเปลี่ยนระบบการเรียกราคาเป็น หนึ่งบาท สองสลึง หนึ่งสลึง โดยเฉพาะเหรียญกษาปณ์ ร.ศ. ๑๒๗ นั้น ผลิตมาไม่ทันจะออกใช้เพราะเสด็จสวรรคตเสียก่อน รัชกาลที่ ๖ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเป็นที่ระลึกในงานพระเมรุพระบรมศพรัชกาลที่ ๕ส่วนเหรียญหนึ่งบาท ร.ศ ๑๒๙และเหรียญสองสลึง ร.ศ. ๑๒๘ สั่งให้ผลิตเป็นตัวอย่าง

    ตราไอราพต

    เป็นรูปช้างสามเศียรทรงเครื่องหันหน้าตรง ไอราพตเป็นพาหนะของพระอินทร์ เดิมใช้เป็นตราของเจ้าครองนครตำแหน่งพระอินทราชา ภายหลังใช้เป็นพระราชลัญจักร ซึ่งมีหลายองค์ บางองค์เป็นรูปพระอินทร์ทรงบางองค์ก็ไม่มี ใช้สำหรับประทับพระราชสาสน์และประกาศสั่งกรม เดิมเป็นตราประจำชาด

    รัชกาลที่ ๔ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชลัญจกรไอราพตขึ้นใหม่ เป็นตราประจำชาด ๓ องค์ คือ องค์ใหญ่ องค์กลาง และองค์เล็ก ในพระราชบัญญัติลัญจกร ร.ศ. ๑๒๒กำหนดให้พระราชลัญจกรองค์ใหญ่ สำหรับประทับประกาศใหญ่ อยู่กลางระหว่างพระองค์กลาง สำหรับประทับประกาศพระราชบัญญัติทั้งปวง รวมทั้งใบกำกับสุพรรณบัตร หิรัญบัตรและประกาศนียบัตร นพรัตนราชวราภรณ์ ประทับตรงกลางระหว่างพระราชลัญจกรมหาโองการและพระครุ ฑพ่าห์



    ที่ผมกล่าวเรื่องจักรยานช้างสามเศียรมามามันเป็นแค่ส มมุติฐาน ยังหาแหล่งอ้างอิงแท้จริงยังไม่ได้ หากท่านใดมีความคิดเห็นยังไง เขียนลงในกระทู้ได้เลยนะครับยินดีรับฟังครับ















    รูป รูป  
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย new_hudson : 31-05-2010 เมื่อ 10:21
    โบ ร า ณ ข า แร งส์
    Vintage Racing

    "หลังองค์พระปฏิมา มีที่ว่างเสมอ "


  4. #4

    มาตรฐาน

    ส่วนเจ้าตัวนี้ ผมสันนิฐานว่า ผลิตหลังจากมีช้างสามเศียรเรียบร้อยแล้วครับ

    ยังไม่มีข้อมูลที่แน่ชัดเหมือนกัน



    Name:  IMG_9407.jpg
Views: 2293
Size:  69.6 KB
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย new_hudson : 28-05-2010 เมื่อ 13:06
    โบ ร า ณ ข า แร งส์
    Vintage Racing

    "หลังองค์พระปฏิมา มีที่ว่างเสมอ "


  5. #5

    มาตรฐาน

    Name:  หนุมาน.jpg
Views: 22491
Size:  67.8 KB

    หนุมาน เป็นตัวละครเอกตัวหนึ่งในเรื่องรามเกียรติ์ เป็นลิงเผือก จึงมีสีขาวเป็นสีประจำกาย เมื่อสำแดงฤทธิ์จะมี 4 หน้า 8 มือ นอกจากนี้ ยังมีลักษณะประจำกายอื่นๆ อีก เช่น สวมกุณฑล มีขนเป็นเพชร มีเขี้ยวเป็นแก้ว และ หาวเป็นดาวเป็นเดือน ดังกลอนตอนที่หนุมานเกิดว่า

    "ลอยอยู่ตรงพักตร์ชนนี รัศมีโชติช่วงในเวหา
    มีกุณฑลขนเพชรอลงการ์ เขี้ยวแก้วแววฟ้ามาลัย
    หาวเป็นดาวเดือนระวีวร แปดกรสี่หน้าสูงใหญ่
    สำแดงแผลงฤทธิ์เกรียงไกร แล้วลงมาไหว้พระมารดร"
    หนุมาน เป็นลิงที่มีฤทธิ์มาก สามารถสำแดงเดชต่างๆ ได้หลายประการ เช่น การขยายร่างกายให้ใหญ่โต การยืดหางให้ยาว เป็นต้น นอกจากนี้ หนุมานยังได้ชื่อว่าเป็นอมตะ คือ ไม่มีวันตาย เนื่องจากเป็นลูกของพระพาย (ลม) กับนางสวาหะ ด้วยเหตุนี้ เมื่อหนุมานมีอันตรายถึงตายแล้ว เพียงแค่มีลมพัดมา หนุมานก็จะฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ ด้วยอำนาจของพระพายผู้เป็นบิดา

    บุคลิกของหนุมานเป็นตัวแทนของชายหนุ่มทั่วไป คือ รูปงาม มีนิสัยเจ้าชู้ และ มีเมียมาก เช่น นางสุพรรณมัจฉา ทั้งคู่มีลูกด้วยกันหนึ่งตน คือ มัจฉานุ ซึ่งเป็นลูกผสมระหว่าง ลิงเผือกกับปลา นั่นคือ มีกายเป็นลิงเผือกเหมือนหนุมาน แต่หางนั้น กลับเป็นหางของปลา นางเบญกาย บุตรีของพญาพิเภก หนุมานได้นางเบญกายตอนที่ นางเบญกายจำแลงกายเป็นศพของ นางสีดาลอย ทวนน้ำมา เพื่อหลอกพระรามให้เสียพระทัย แต่ภายหนังกลนี้ถูกจับได้ พระรามจึงให้หนุมานพานางเบญจกายไปส่งกลับเมือง ซึ่งทั้งคู่ลูกด้วยกัน ชื่อว่า อสุรผัด

    ตลอดเรื่องรามเกียรติ์นั้น หนุมานผู้เป็นทหารเอกได้รับรางวัลจากพระราม 3 ครั้ง

    1. ผ้าขาวม้า ได้ตอนที่หนุมานไปเผากรุงลงกา
    2. ธำมรงค์ ได้จากตอนที่ไปช่วยพระรามหลังจากที่ถูกไมยราพ จับไปขังไว้ที่เมืองบาดาล
    3. เมืองนพบุรีพร้อมสนม 5000 นาง ได้ในตอนที่เสร็จศึกลงกาแล้ว

    การแสดงโขน ตอน หนุมานได้รับแต่งตั้งให้ครองเมืองนพบุรี

    เมื่อเสร็จศึกกรุงลงกาแล้ว พระรามได้สถาปนาให้เป็น พระยาจักรกฤษณ์พิพรรธพงศา และยกกรุงอยุธยาให้ครองกึ่งหนึ่ง แต่หนุมานได้ถวายคืนพระราม เพราะสำนึกว่าตนไม่สูงศักดิ์พอ พระรามจึงยกเมืองนพบุรีให้ครองแทน

    ลิ้งอ้างอิงคลิก
    หนุมาน พบ 7 ยอดมนุษย์ พ.ศ.๒๕๑๗ คลิก


    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย new_hudson : 28-05-2010 เมื่อ 13:06
    โบ ร า ณ ข า แร งส์
    Vintage Racing

    "หลังองค์พระปฏิมา มีที่ว่างเสมอ "


  6. #6
    paiboon's Avatar
    วันที่สมัคร
    Dec 2005
    สถานที่
    โบราณขาเเรง
    ข้อความ
    1,652
    ขอบคุณ
    166
    ได้รับขอบคุณ 371 ครั้ง ใน 194 ข้อความ
    ผลการให้คะแนน
    23

    มาตรฐาน

    คงต้องเอารูปและข้อมูลมาร่วมลงด้วยนะ ผมพอมีครับคุณรักษ์

  7. #7

    มาตรฐาน

    อ้างอิง ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ paiboon อ่านข้อความ
    คงต้องเอารูปและข้อมูลมาร่วมลงด้วยนะ ผมพอมีครับคุณรักษ์
    ต้องขอพึ่งใบบุญพี่paiboon อีกแรงครับ

    ขอบคุณมากครับ
    โบ ร า ณ ข า แร งส์
    Vintage Racing

    "หลังองค์พระปฏิมา มีที่ว่างเสมอ "


  8. #8
    a_tez's Avatar
    วันที่สมัคร
    Jul 2006
    สถานที่
    Mazda Club Thailand/จักรยานฝั่งธน
    ข้อความ
    5,283
    ขอบคุณ
    1
    ได้รับขอบคุณ 10 ครั้ง ใน 8 ข้อความ
    ผลการให้คะแนน
    23

    มาตรฐาน

    เอาอีก
    5555+

  9. #9

    มาตรฐาน

    สงกรานต์ในอดีต
    เห็น sunbeam ไหมครับสวยซะด้วย

    Name:  m149667.jpg
Views: 1931
Size:  93.4 KB
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย new_hudson : 27-05-2010 เมื่อ 22:02
    โบ ร า ณ ข า แร งส์
    Vintage Racing

    "หลังองค์พระปฏิมา มีที่ว่างเสมอ "


  10. #10

    มาตรฐาน

    Name:  btc00.jpg
Views: 1839
Size:  11.1 KB

    บริษัท ห้างเทพนครพาณิชย์ จำกัด ก่อ ตั้งโดย นายเคงเหลียน สีบุญเรือง ( ค . ศ .1875-1940) ซึ่งถือ กำเนิดจากครอบครัวสามัญชน แต่มุมานะพากเพียร ศึกษาภาษาอังกฤษด้วยตนเอง และเริ่มทำงาน หาเลี้ยงชีพ ตั้งแต่อายุ 16 ปี ผ่านการทำงาน จากบริษัทที่ทำ ธุรกิจการค้า และองค์การส่วนราชการ ต่างๆ อาทิเช่น กรมศุลกากร กระทรวงยุติธรรม โดยเฉพาะได้มีโอกาสช่วยราชการที่กรม เจ้าท่า และได้เป็น ผู้รับผิดชอบ หัวหน้ากองทะเบียนเรือ และงานปกครองดูแลประภาคารในน่านน้ำไทย รวมถึงงานคิดสร้างวาง หลักระเบียบและข้อบังคับงานของกรมเจ้าท่าซึ่งเป็นพื้ นฐานของพระราชบัญญัติ การเดินเรือในน่านน้ำไทยสมัยปัจจุบัน ความช่ำชองในเชิงพาณิชย์กับต่างประเทศอย่างกว้างขวาง ของนายเคงเหลียน ได้เป็นมูลเหตุที่ทำให้ท่าน เริ่มก่อตั้งโรงงานผลิตบุหรี่ชื่อ บริษัท ยาสูบสยาม จำกัด พร้อมกับนำเข้า ข้าวของเครื่องใช้เบ็ดเตล็ด จากต่างประเทศและจักรยานเข้ามาจำหน่าย เมื่อตัวสินค้าได้รับความนิยมมากขึ้นโดยเฉพาะจักรยาน จึงได้สั่งจักรยานยนต์ยี่ห้อ ฮัมเบอร์ จากประเทศอังกฤษ เข้ามาจำหน่าย และได้ถือโอกาส เปิดบริษัท ดำเนินกิจการใหม่ภายใต้ชื่อ ห้างเทพนครพาณิชย์ ในปี ค . ศ .1939 ด้วยชื่อเสียงและเกียรติ คุณ ในความ เป็นพ่อค้า ที่ยึดถือความซื่อสัตย์และมีความเป็นมืออาชีพ อีกทั้งยังมีสัมพันธ์ภาพอันดีกับลูกค้าและบุคคลในวงก ารค้าขายด้วยกัน จึงทำให้ธุรกิจเจริญเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง


    ภาย หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 บริษัท ห้างเทพนครพาณิชย์ จำกัด ภายใต้การกำกับดูแลของบุตรชายคือ นายจรูญ สีบุญเรือง และนายโตสิต สีบุญเรือง ได้ขยับขยายกิจการไปสู่ตลาดการค้าวิทยุและอุปกรณ์เคร ื่องใช้ไฟฟ้า โดยเป็นผู้แทนจำหน่าย สินค้าของ PHILIPS ซึ่งต่อมาภายหลังได้มีการเปลี่ยนมาตกลงทำการเซ็นสัญญ าเป็นผู้แทนจำหน่ายสินค้าจากบริษัทผลิตเครื่องใช้ไฟฟ ้า SHARP ซึ่งนับเป็นผู้แทนจำหน่ายต่างประเทศรายแรกของ SHARP ภายใต้ชื่อ บริษัท ชาร์ปเทพนคร จำกัด

    ตลอด ระยะเวลากว่า 60 ปี ที่บริษัท ห้างเทพนครพาณิชย์ จำกัด เป็นผู้มีบทบาทสำคัญ ในการพัฒนาการ ทางเศรษฐกิจ ของประเทศไทย ในฐานะเป็นหนึ่งผู้ประกอบการพาณิชย์รุ่นแรกๆ ที่ได้นำ จักรยาน จักรยานยนต์ อุปกรณ์เครื่องรับส่งวิทยุ และ เครื่องไฟฟ้า เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย ห้างเทพนครพาณิชย์ ได้สร้างชื่อเสียง และบริการอันเป็นที่พอใจของลูกค้า และด้วย ประสบการณ์หลายสิบปีจากการดำเนินกิจ การค้าทั้งตลาดในประเทศ ไทย และทั่วภูมิภาคเอเชีย ห้างเทพนครพาณิชย์ได้ทำหน้าที่ เป็นกลไกเชื่อมโยง ระหว่างผู้ผลิตสินค้าระดับโลก ไปสู่ตลาดในท้องถิ่นต่างๆ
    อ้างอิงจากคลิก
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย new_hudson : 28-05-2010 เมื่อ 13:09
    โบ ร า ณ ข า แร งส์
    Vintage Racing

    "หลังองค์พระปฏิมา มีที่ว่างเสมอ "


  11. #11

    มาตรฐาน



    นี่เป็นอีกบทความหนึ่งของประวัติจักรยานโบราณในสยาม

    จากหนังสือจดหมายเหตุรายวันในหนังสือ" ปุญญกถาพระประวัติและจดหมายเหตุรายวันของสมเด็จพระเจ ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ " ตีพิมพ์เมื่อ พ.ศ.๒๔๒๕ หน้า ๘๗
    ( บันทึกระหว่างเดือน มกราคม - กุมภาพันธ์ ๒๔๒๕ ) ที่ได้ทราบจากบันทึกจดหมายเหตุรายวันจึงเห็นเป็นได้ว ่ามีรถถีบได้เข้ามาเป็น ครั้งแรกในช่วงสมัย ร. ๕ การสั่ง - ซื้อ-ส่งจักรยานโดยทางเรือจากยุโรปมาถึงไทยในสมัยนั้นใช้เ วลาเกือบปี ดังนั้นจึงถือเอาว่ารถจักรยานปรากฏในสยามช่วงปี พ.ศ. ๒๔๒๐ โดยบันทึกเป็นทางการเมื่อ วันที่ ๒๓ มกราคม พ.ศ. ๒๔๒๕ เป็นปที่เริ่มต้นจักรยานในประเทศ ไทย นับเนื่องถึงปัจจุบันนี้ยาวนานถึง ๑๒๘ ปีแล้ว
    เชื่อกันว่ารถจักรยานใน สยาม ที่รู้จักกันในนาม รถถีบ มีเข้ามาตั้งแต่ สมัยรัชกาลที่ ๔ ตอนปลายแล้ว ( ระหว่าง พ.ศ.๒๓๙๔ - ๒๔๑๑ ) ตรงกับ ค.ศ. ๑๘๕๑ - ๑๘๖๘ ซึ่งเป็นปีที่ฝรั่งเศส, เยอรมัน,อังกฤษระดมความคิดสร้างสรรค์จักรยานประดิษฐ์ กรรมเฟื่องฟูที่สุดก่อน เปิดยุคอุตสาหกรรมพัฒนาถึงขั้นผลิตส่งออกขายทั่วโลกใ นปี๑๘๘๕
    ในฝรั่งเศสเองคลั่งไคล้จักรยานมากที่สุดในปี ๑๘๖๗ หลังจากนั้น ๑ ปี จึงจะมีคนริเริ่มทำจักรยานเข้าสู่ระบบอุตสาหกรรม ในปี ๑๘๖๙ บริษัทโครเวนตี้ ที่อังกฤษเริมผลิตจักรยานล้อโตชื่อ เพนนีพาร์ ทิง ออกจำหน่ายเป็นครั้งแรกจนเป็นที่มาของจักรยานที่ปราก ฏเห็นกันในสยามตาม บันทึก
    ต่อมาในสมัย ร. ๕ รถจักรยานเข้ามาในสยาม เป็นพาหนะส่วนตัวที่ชาวกรุงนิยมนัก ถีบกันเกร่อทั้งไทยและเทศรถถีบสมัย ร. ๕ ระหว่าง พ.ศ. ๒๔๑๑ - ๒๔๕๓ ค.ศ. ๑๘๖๘ - ๑๙๑๐ มีการสั่งจักรยานมาขายเป็นครั้งแรก กรมหลวงราชบุรีฯ สั่งจักรยานมา ๑๐๐ คัน กรมพระนราธิปประพันธ์พงษ์ สั่งจักรยานมา ๑๐๐ คัน มีการฝึกหัดขี่จักรยานในรั้ววังฯ....มีการประกวดแฟนซ ีขี่จักรยาน...มีการ ตั้งสโมสรผู้ขี่จักรยาน และมีการซื้อขายเป็นต้นแบบการค้าจักรยานครั้งแรกใน สยาม
    การจำหน่ายจักรยานในสมัยนั้นไม่มีใครบันทึกว่าเป็นรถ อะไร ...ยี่ห้ออะไร... มีแต่การประกาศขายโดยผ่านประเทศสิงคโปร์ ในยุคนั้น ปรากฏชื่อจักรยานตรา royal psycho จากหนังสือพิมพ์บางกอกไตม์ เมื่อ ๕ ตุลาคม ๒๔๓๕ ทำให้เชื่อได้ว่าคนไทย มีจักรยานตรา royal psycho ใช้ในสมัย ร. ๕ แล้วหนึ่งตรา ในรัชกาลที่ ๖ รถจักรยานได้มีบทบาท ในท้องถนนไม่แพ้ รถยนต์ เนื่องจากราษฎรสามารถที่จะซื้อมาขี่ได้.สะดวกกว่าแต่ ก่อนเพราะนอกจากจะมีขาย ในกรุงเทพ ฯและต่างจังหวัดแล้ว ราคาก็ถูกกว่าแต่แรกหลายเท่า รถจักรยานจึงมีจำนวนเพิ่มขึ้นมากมาย
    ในสงครามอินโดจีน รถจักรยานก็มีส่วนใช้เป็นยานพาหนะในกองทัพบกของไทย ด้วย จักรยานยี่ห้อ ฟิลลิปส์ สมัยนั้นราคา ๘๐๐ บาท....ยี่ห้อ ซันบีม เป็นรถแบบสปอร์ต ราคาคันละ ๑,๒๐๐ บาท หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ เป็นต้นมา รถจักรยานยี่ห้อ ราเลย์ และ ยี่ห้อ ซัมบีม เป็นรถที่ดีที่สุด และ ราคาแพงที่สุดตามลำดับปัจจุบันรถจักรยานสามารถสร้างข ึ้นได้ในเมืองไทย ราคาจึงขายกันเพียงคันละ ๓๐๐ - ๔๐๐ บาทเท่านั้น และยังพลอยทำให้จักรยานนอกราคาถูกลงด้วยเห็นงามตามเข า
    ในความเป็นจริง จักรยานไม่ใช่สิ่งประดิษฐ์หรือผลผลิตของคนไทย เพียง เห็นงามตามเขา แบบที่พูดกันว่า ฝรั่งทำ...เจ๊กขาย...ไทยถีบ..คนไทยเคยใช้จักรยานมานา นถึง ๑๒๘ ปี แล้ว
    อ้างอิงจากคลิกครับ













    รูป รูป  
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย new_hudson : 31-05-2010 เมื่อ 10:22
    โบ ร า ณ ข า แร งส์
    Vintage Racing

    "หลังองค์พระปฏิมา มีที่ว่างเสมอ "


  12. #12
    Senior Member trangoldbike's Avatar
    วันที่สมัคร
    Feb 2010
    สถานที่
    รถถีบโบราณตรัง
    ข้อความ
    604
    ขอบคุณ
    3
    ได้รับขอบคุณ 0 ครั้ง ใน 0 ข้อความ
    ผลการให้คะแนน
    15

    มาตรฐาน

    ได้ความรู้เยอะเลยครับ ขอบคูนคร้าบบบบบบบบ

  13. #13

    มาตรฐาน

    อ้างอิง ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ trangoldbike อ่านข้อความ
    ได้ความรู้เยอะเลยครับ ขอบคูนคร้าบบบบบบบบ
    ด้วยความยินดีครับ

    หากมีรูปที่ประทับใจเกี่ยวกับรถของท่าน

    เอามาลงเป็นข้อมูลในกระทู้ได้เลยนะครับ

    หรือว่าใครมีข้อมูลดีๆ ที่จะแบ่งปัน

    ขอเชิญชวนทุกๆ ท่าน นะครับ


    ส่วนตัวผมจะค่อยๆ ทยอยต่อๆ ไปเรื่อยๆ เกี่ยวกับประวัติความเป็นมารถจักรยานสยามนะครับ

    (เพราะข้อมูลในไทยหายากยิ่งกว่าcatalogue เยอะเลยครับ) หาเจอแล้วจะเอามาแบ่งปันครับ


    "จักรยานโบราณ โดยส่วนตัว ผมคิดว่าเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง

    ซึ่งผู้ที่ชื่นชอบมีอุดมการณ์ต่างๆ นานา ตัวผมเองเล่นจักรยานเพราะ

    จักรยานโบราณทำให้ผมมีจิตสำนึกที่จะศึกษาประวัติศาสต ร์ไทย จักรยานโบราณ

    สามารถโยงเข้าเรื่องนั้นเรื่องนี้ในอดีตมากมาย จักรยานทุกยี่ห้อมีความเป็นมา

    เช่น BSA lady มีคนแก่เล่าให้ผมฟังว่า เป็นรถนางพยาบาล

    HOPPER เป็นรถตำรวจล่าตระเวณ (สายตรวจ) RALEIGH รถจีบสาว ฯลฯ

    มันทำให้น่าค้นหา เพลิดเพลินกับข้อมูล

    เลยลองเอาข้อมูลที่ค้นมาได้ แบ่งปันให้พี่ๆ น้องๆ ในเวปดู ไม่มีเจตตนาที่ประสงค์ร้ายประการใด

    หากกระทู้นี้มีข้อความที่ไม่เหมาะสมประการใด ก็ขออภัยไว้นะที่นี่ด้วยนะครับ (ทักท้วงได้ครับ)"



    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย new_hudson : 31-05-2010 เมื่อ 10:23
    โบ ร า ณ ข า แร งส์
    Vintage Racing

    "หลังองค์พระปฏิมา มีที่ว่างเสมอ "


  14. #14

    มาตรฐาน




    พระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ 4





    พระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ 5





    พระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ 6






    พระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ึ7








    พระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ 8


    พระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ 9

    ทุกท่านคงแปลกใจนะครับ ว่าผมเอา ตราประจำรัชกาลที่๔ ถึง รัชกาลที่๙ มาให้ดูทำไม
    ท่านลองกลับไปชมเพรทช้างสามเศียรอีกครั้งนะครับท่านจ ะพบคำตอบว่า ข้างบนเพรทช้างสามเศียร
    จะมีส่วนประกอบของตราประจำรัชกาลอยู่ซึ่งเป็นกุญแจไข ปริสนา ว่าช้างผลิตในช่วงไหน ตอนนี้ข้อมูลที่อ้างอิงมาทั้งหมดผมคิดว่าอันนี้ น่าจะมีความใกล้เคียงที่สุด โดยส่วนตัวผมคิดว่าช้างเริ่มมีใช้กันในสมัยรัชกาลที่ ๗ หลังจากที่สงสัยกันมานานว่าผลิตในสมัยรัชกาลที่๕ เพราะดูจากข้อมูลหลายๆอย่าง แม้แต่เหรียญช้างสามเศียรยังไม่มีใช้ในสมัยท่านเลยคร ับ เจ้าของห้างเทพนครก็พึ่งนำรถเข้ามาขายเป็นช่วงแรกๆ

    รายละเอียดของตรารัชกาลต่างๆคลิกครับ

    โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านนะครับ
    หากท่านใดจะขอทักท้วงก็ยินดีรับฟังนะครับ

    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย new_hudson : 31-05-2010 เมื่อ 01:26
    โบ ร า ณ ข า แร งส์
    Vintage Racing

    "หลังองค์พระปฏิมา มีที่ว่างเสมอ "


  15. #15
    Senior Member
    วันที่สมัคร
    Jun 2008
    ข้อความ
    314
    ขอบคุณ
    0
    ได้รับขอบคุณ 7 ครั้ง ใน 5 ข้อความ
    Blog Entries
    2
    ผลการให้คะแนน
    16

    มาตรฐาน


    ประวัติศาสตร์ + วิทยาทานครับคุณ อภิรักษ์

หน้าที่ 1 จากทั้งหมด 3 หน้า 1 2 3 หน้าสุดท้ายหน้าสุดท้าย

Bookmarks

กฎการส่งข้อความ

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •