Forbes เป็นนิตยสารที่มีชื่อเสียงในเรื่องการจัดอันดับต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นมหาเศรษฐี, บุคคลที่มีอิทธิพล, หรือบริษัทที่มีอิทธิพลต่างๆ ได้รายงานผลการจัดอันดับ 100 บริษัทที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก และแน่นอนว่าบริษัท IT ชั้นนำที่เรารู้จักกันดีก็ติดอันดับกันหมด ผลปรากฏว่า Sony ได้อันดับ 2 เหนือ Apple, Google, และ Microsoft
รายงานของ Forbes ชิ้นนี้อ้างอิงจากผลวิจัยของ Reputation Institute ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาระดับโลก โดยทำการศึกษาจากผู้บริโภค 47,000 คน จาก 15 ชาติ โดยให้คะแนน 0-100 ตามความรู้สึก และทำการคำนวนเป็นดัชนีชี้วัดทางอารมณ์ 4 ด้าน ได้แก่ ความน่าเชื่อถือ, ความน่าเคารพ, ความน่าชื่นชม, และความรู้สึกดี
นอกจากนั้น Reputation Institute ยังได้ทำการวิเคราะห์ต่อไปถึงสิ่งที่เรียกว่า ชื่อเสียงองค์กร 7 มิติ อันประกอบไปด้วย สถานที่ทำงาน, การบริหารจัดการ, สิทธิ, การเงิน, ความเป็นผู้นำ, ผลิตภัณฑ์ และ การบริการ บวกกับนวัตกรรม
Sony นั้นสามารถกอบกู้ชื่อเสียงจากวิกฤตด้านความปลอดภัยใน ปีที่ผ่านมาได้ และยังมีความแข็งแกร่งที่สุดด้านผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภา พ
ส่วน Google นั้นก็เริ่มเปลี่ยนจากภาพลักษณ์ของบริษัทที่ดูวัยรุ่ นไปสู่บริษัทที่มั่นคงแทน และได้คะแนนดีที่สุดในด้านของสถานที่ทำงาน
สำหรับ Apple นั้นก็เพิ่งเปลี่ยนความนิยมของบริษัทให้กลายเป็นบริษ ัทที่มีภาพลักษณ์น่าเชื่อถือเมื่อไม่นานมานี้ และยังพิสูจน์ให้เห็นถึงคุณค่าของ Apple โดยยังรักษาคะแนนสูงไว้ได้ในทุกๆ ด้าน แม้ว่าผู้นำคนสำคัญอย่าง Steve Jobs จะจากไปแล้วก็ตาม
Microsoft ก็สามารถเปลี่ยนจากบริษัทที่ครั้งนึงเคยมีภาพลักษณ์เ ป็นบริษัทผูกขาดตลาดอันชั่วร้าย ให้กลายเป็นบริษัทที่มีการบริหารที่ดีที่สุดได้
อย่างไรก็ดีมีสิ่งนึงที่ทุกบริษัทเห็นตรงกันนั่นก็คื อ วันที่การมีผลิตภัณฑ์ที่ดีเพียงอย่างเดียวนั้น จะสามารถชนะใจและได้รับการสนับสนุนจากผู้บริโภคได้จบ ไปแล้ว
สำหรับอันดับอื่นๆในด้าน IT ที่น่าสนใจมีดังนี้ครับ

  • Sony (2)
  • Apple (5)
  • Google (6)
  • Microsoft (7)
  • Canon (9)
  • Panasonic (14)
  • Intel 16)
  • IBM (19)
  • Samsung (21)
  • Nokia (24)
  • Philips (25)
  • Amazon (28)
  • HP (31)
  • Nintendo (32)
  • Dell (50)
  • Toshiba (52)
  • Cisco (55)
  • LG (56)
  • Oracle (71)
  • Acer (73)
  • Yahoo (75)
  • eBay (80)
  • Lenovo (95)

หวังว่าจะได้เห็นบริษัทไทยไปติดอันดับแบบนี้บ้างนะคร ับ
ที่มา - Forbes


More...