เหมันจะผ่านพ้นไป ทุนนิยมที่สาสมแก่ใจ ....
ชาวบ้านของกรุงเทพแต่เดิม ? ถูกถมคูคลองจากชาวกรุงที่เรียกแต่เดิมว่า "เวนิชตะวันออก" กลายเป็นถนนหนทางและทางด่วน เมื่อก่อนมีรถราง ผมยังเคยได้นั่ง ได้ยินเสียงเวลาวิ่ง แช๊งแฉะ ๆ ๆ แล้วเปลี่ยนเป็นรถเมล์ เช่น รถเมล์นายเลิศ ขึ้นนั่งค่ารถไม่เกิน ๕๐ สตางค์ เวลานั้น คลองในกรุงเทพฯ ยังเขียว ๆ ไม่ถึงดำเหมือนปัจจุบันนี้ ชาวบ้านแต่เดิมใกล้ริมน้ำเขารักษาชุมชน มีหลักฐานโฉนดที่ดินเกือบทุกบ้าน (ชาวพื้นเมืองเดิม มาก่อนนายกฯออสซี่)
เมื่อประมาณ ๓๐ ปีตลาดนัดเดิมอยู่ที่ท้องสนามหลวง (ยังไปใช้บริการตั้งแต่ยังเป็นเด็ก นั่งรถเมล์เทเวศน์รอบเมือง) เมื่อผู้คนแออัดมากขึ้นและสนามหลวงคับแคบไปจึงย้ายมา ที่จตุจักร แรก ๆ ผู้ค้าก็คัดค้านไม่อยากไปจตุจัตร ปัจจุบันไม่อยากออกจากจตุจักรไปแห่งอื่นอีก จะเป็นการรถไฟ หรือ กทม. พ่อค้า แม่ค้า คนซื้อของ ไม่ใคร่สนใจ ตราบเท่าที่ไม่กระทบการทำมาหากินของเขา
แล้วปัญหาผังเมืองก็ถูกกล่าวว่าเป็นต้นเหตุ ทำให้ กทม."ร้อนตับแตก" ซึ่งสาเหตุแท้จริงน่าจะเกิดจาก ประเทศไทยคือ กทม. (ศูนย์กลางแห่งความเจริญ) ตามลักษณะของทุนนิยมสมัยใหม่ หากย้อนกลับไปที่ยังเป็น ประเทศสยาม (ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว) ทุกแห่งมีแต่ความร่มเย็น (ไม่ร้อนตับแตก) ก่อนแผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ ฉบับที่ ๑ จะเริ่ม เจ้าหน้าที่ระดับสูงของอเมริกาที่ร่วมพัฒนาให้ประเทศ ไทย (ซีอาโต้) ยังเคยกล่าวไว้ว่า "จากนี้ไทยจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป น่าเสียดายความเป็นอยู่อย่างสงบฉันท์มิตรไมตรีของคนไ ทยจริงๆ "
เรื่องร้อนของสื่อทีวี
สีเอกรงค์ คือ สีเดียว เช่น หอยม่วง รูปขาวดำ ภาพคอมพิวเตอร์สมัยจอเขียว คงความขลัง แต่มีความนัยในตัว ? ...
เคยอยู่และสร้างชื่อเสียงในตนเอง ลองพิจารณา"โลโก้" ช่อง ๗ สี แล้วจะเข้าใจ (ทั้งทฤษฏีแสงสี และการปฏิบัติตนฐานะสื่อ) แสงแดง เขียว น้ำเงิน ----> พินิจดูเพื่อลดความบาดหมางของผู้คน
นักข่าวรุ่นน้อง (คุณกนก) ถูกเสื้อแดงขับไล่จาก อสมท. ให้ไปทำข่าวที่อื่น คุณเหล่าเสื้อแดงทราบไหมสื่อโทรทัศน์ช่องแรกของไทยอย ู่ที่ไหน ? สำคัญอย่างไร ? บอกให้ง่าย ๆ อยู่แถวป้อมปราบ บางขุนพรม อำเภอพระนคร สมัยนั้นไม่มีใครไล่ใคร ผู้สื่อข่าวเป็นฐานันดรที่สี่ เมื่อสื่อขึ้นนักการเมืองเห็นช่องทางเอาสื่อไปเป็นพว ก (ซื้อสื่อ) สื่อใดเข้าร่วมด้วยก็เจริญก้าวหน้า ทำกำไรจากโฆษณาได้อย่างร่ำรวย (เหมือน นกใน"ไร่ส้ม") ล่าสุดหลังป.ป.ช.ชีมูลทุจริต ๑๓๘ ล้านผู้คนรู้กันทั่วแต่ผู้จ้างโฆษณากลุ่ม ปตท.และแบงก์ออมสินก็ยังเพิ่มการจ้างให้อีก ๒๑.๔ ล้าน อุ๊แม่เจ้า!!
ส่วนสื่อที่มีจรรยาบรรณถูกป้ายสีนำเสนอข่าวโต้แย้งท่ านผู้นำ(เหมือน กนก ใน"อสมท.") ได้แต่ตกต่ำ (นกและกนกเคยทำงานร่วมกัน แต่จรรยาบรรณต่างกัน) จากคนสื่อฐานนันดรสี่ มาถึงสัมปทานทีวีรัฐไทย ถ้าใครได้ครอบครองก็ต้องพ่วงโฆษณาสินค้าเข้าไปด้วย กับภาคละครและบันเทิง แข่งกันเข้าไปจนวัยรุ่นปัจจุบัน ถูกกล่าวหาจากสังคมว่า ฟุ้งเฟื้อ หยิบหย่อง ทำงานไม่เป็นเห็นแก่ตนมากกว่าส่วนรวม และริเป็นนักเลงตั้งแต่ยังเรียน (สังคมสื่อโทรทัศน์ !!!)
จากสื่อภาพโทรทัศน์ ก็ถึงสื่อสารโทรศัพท์ บางกอกบ้านเรามีโทรศัพท์ใช้มาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ ทรงเริ่มให้มีโรงไฟฟ้าขึ้นในสยามเป็นครั้งแรก เกรแฮมเบลล์(ผู้สร้าง)คงภูมิใจไม่น้อยที่สยามใช้โทรศ ัพท์ สมัยนั้นในกลุ่มคนชั้นสูงของสยาม (ยังใช้พนักงานเสียบสายไปยังหมายเลขที่เรียก) โทรศัพท์บ้านพัฒนาแต่บัดนั้นเรื่อยมา จนเป็นสิ่งจำเป็นในการเศรษฐกิจคนชั้นกลางของบางกอก และเริ่มมีเพจเจอร์ติดตามตัวให้โทรกลับทางโทรศัพท์ พัฒนามาเป็นโทรศัพท์ไร้สายรุ่นกระดูกหมาเครื่องละเป็ นแสน จนกลายเป็น ๒ จีเครื่องละไม่กี่ร้อยในปัจจุบัน แล้วการจี ๓ ก็เริ่มเข้ามามีบทบาทในยุคทุนนิยมสุดโต่ง หรือยุคที่เรียกว่า "ใครครอบครองสื่อ ผู้นั้นครอบครองโลก" ซึ่งน่าจะจริงเพราะเด็กไทยของเราเกือบทุกคนใช้มือถือ กันทั้งนั้น การจี ๓ เพิ่มเป็นจุดเริ่มต้นของทุนนิยมสุดโต่งไปสู่ จี ๔-๕-๖ ต่อไป ไม่เชื่อคอยดู
แล้วก็มาเรื่องสัมปทานรถไฟบนดิน ใต้ดิน บอกแล้วเมื่อก่อนมีรถรางยังเคยได้นั่ง สมัยนั้นโก้ที่สุดก็เริ่มมีรถเมล์ เช่น รถเมล์นายเลิศ ฯ ข่าวของการสร้างรถไฟใต้ดิน (อ้างอิงเมืองอะเมริกา ที่คนบางกอกรุ่นใหม่ได้ไปร่ำไปเรียน) เอาอย่างเมืองนอกร่ำกันไป ลือกันมา ช้าๆ ได้พร้า ๒ เล่มงาม(สนิมจับ) ๒๕ ถึง ๓๐ ปีผ่านไปรถไฟขนส่งมวลชนในกรุงเทพไม่ได้เกิด แต่ไปเกิดโรงงานโตโยต้าผลิตรถยนต์ส่งออก สมัยจอมพลต่าง ๆ เป็นหัวหน้ารัฐบาล ญี่ปุ่นขอบคุณคนไทยเพราะโตโยต้าเป็นรถส่งออกเจริญกว่ าในประเทศญี่ปุ่นเอง ไทยก็พะฉายาว่า "ดีทรอยของเอเซีย" แต่เป็นการบอนไซรถไฟฟ้าบนดินใต้ดินโดยแท้ นี่...ยังไม่พูดเรื่องโฮปเวล นะนี่ (เวรกรรมชาวกรุง)
ว่าถึงเรื่องหนังสือ เขาว่าคนไทยอ่านหนังสือเฉลี่ยปีละไม่เกิน ๗ บรรทัด เรื่องนี้จริงบ้างเท็จบ้าง อันที่จริงคนไทยแต่เดิมความรู้น้อย (แต่สูงคุณธรรม) หาเช้ากินค่ำหรือไม่ก็เป็นเกษตรกรทำนาทำไร่เลี้ยงชาว กรุงและคนหัวเมืองในจังหวัดที่เจริญแล้ว หนังสือหนังหาเมื่อก่อนก็มีน้อย ต้องพึ่งพาวัดวาอารามส่งลูกหลานให้หลวงตาได้อบรมสั่ง สอน (เด็กวัด) ในกรุงนี้มีจำนวนไม่น้อยกว่าต่างจังหวัด เมื่อเติบใหญ่ก็ได้ดิบได้ดีไปตาม ๆ กัน ครั้นบ้านเมืองเจริญขึ้นผู้คนมากขึ้นสื่อและหนังสือต ่าง ๆ ก็มีมากขึ้น (ยังเคยใช้บริการแผงหนังสือสมัยที่สนามหลวงยังเป็นตล าดนัด) ทุนนิยมยังไม่เข้ามาผูกขาดเหมือนปัจจุบันนี้ ผู้คนก็ยังโอบอ้อมอารีกันอยู่ คราวนี้ศูนย์การค้าต่าง ๆ ผุดดังดอกเห็ด การผูกขาดเกิดขึ้นใครคิดอะไรได้อย่างนวัตกรรม (ช่วยแปลด้วย) ก็จะต้องสงวนลิขสิทธิ์หรือเป็นทรัพย์สินทางปัญญา นานเข้าทุกอย่างก็เริ่มจะผูกขาดโดยการตลาดขึ้น (เขาเรียกว่า ตลาดเสรี) คนไทยก็ยังเป็นคนไทยส่ง"แปะเจี๊ย" ทั้งด้านสื่อและหนังสือต่าง ๆ (เวรกรรมของตลาดเสรี)
กลับมาเรื่องน้ำท่วมกรุง ซึ่งอ่วมอรทัยในปี ๒๕๕๔ มาปีนี้ ๒๕๕๕ ทำเอาตื่นระทึกไปทั้งเมืองเลยทีเดียว เมื่อวันดีคืนร้ายรัฐบาล เล่นยาแรงปฏิบัติการทดสอบการระบายน้ำ ผ่านหลายคลองในพื้นที่กรุงเทพ เคราะห์ดีที่การปฏิบัติการครั้งที่ ๒ ยกเลิกไปเสียก่อนด้วยเหตุฝนตกหนักฯ ว่ากันว่านี่เป็นเกมที่สองพรรคใหญ่ต่างต้องช่วงชิงจั งหวะ ไล่เก็บคะแนน หวังผลชิงตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม. (ชาวกรุง เป็นหนังหน้าไฟอีกตามเคย...)
บาร์กับจ้ำบ๊ะ สมัยซีอาโต้กับหลังม่านไม้ไผ่ ฝรั่งอะเมริกันเข้ามาสร้างฐานทัพในไทยทางอุดรธานีอีส าน และอู่ตะเภาชลบุรี ส่งบี ๕๒ ออกไปถล่มเพื่อนบ้านเวียดนามเหนือ การบาร์และจ้ำบ๊ะก็เจริญเติบโตในสมัยนั้น คนทำมาหากินกับฝรั่งสามารถพูดเยสโน โอเค โคคาโคล่า งู ๆ ปลา ๆ กับฝรั่งได้อย่างเข้าใจถึงกึ๋น พัฒน์พงษ์พัฒนาหลังจากนั้นมา จนฝรั่งถอนทัพกลับไปด้วยเหตุแพ้เวียดกง แต่พัฒน์พงษ์ก็ยังเจริญในรูปแบบเดิม ๆ จนต่อเนื่องถึงปัจจุบันนี้ นับถือ ๆ (บาร์เจริญในหัวเมืองและกทม. จ้ำบ๊ะและเวทีรำวงสมัยนั้นเกลื่อนในงานวัดแต่ตอนนี้ห ายไปแปรรูปเป็นอย่างอื่นแล้ว)
ตุลา ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยสม่ำเสมอ การชุมนุมภาคการเมืองการเศรษฐกิจมีมาตั้งแต่จอมพล ป.พิบูลสงครามให้มีการจัดที่ไฮปรากได้ที่สนามหลวง นัยว่าเป็นการลดแรงกดดันของชาวบ้านที่ไม่พอใจต่อการเ ลือกตั้งโกงสมัยนั้น---> ยาวมาจนกระทั่งสมัยนี้กว่า ๕๐ ปีแล้วนะพ่อเจ้าประคุณ เรื่องก็วนเวียนวกวนอยู่กับความพอมีพอกินของชาวบ้านน ับวันจะลดลง แต่เหลือกินเหลือใช้สำหรับ"อำมาตย์" (จริง ๆ แล้วอำมาตย์คือตัวลวงไว้หลอกคนหาเช้ากินค่ำ ตัวจริงคือ พวกนักการเมืองตัวดีและพวกเล่นหุ้นชนิดชอบล้มบนกระสอ บหรือขายสินแผ่นดิน)
ทุนนิยมสร้างความเดือดร้อนไปถึงพระสงฆ์องค์เจ้า เหตุ กสทช.ออกข้อบังคับวิทยุใหม่จำกัดสิทธิประชาชนเข้าถึง วิทยุเสียงธรรม ประธานสงฆ์พระกรรมฐานฯ ได้ลงนามในประกาศ “มติสงฆ์จากจตุรทิศ” เรื่อง ลงนิคคหกรรมคว่ำบาตรผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนประธาน กสทช. (หลวงตาบัว "เรานี้สลดสังเวชมากนะ เพราะเสียงธรรมไม่ค่อยมีที่จะให้เป็นประโยชน์แก่โลก เสียงกิเลสตัณหา เสียงฟืนเสียงไฟมันทั่วโลก")
เมื่อกทม.กำลังจะเป็นเมืองใหญ่ระดับโลก ชื่อตำแหน่ง “ผู้ว่าราชการ (Governor)” ควรเปลี่ยนเป็น “นายกเทศมนตรี (Lord Mayor )” ขำแต่ขันไม่ออก ต่อไปน่าจะเสนอแนะให้ข้าราชการที่เป็นผู้บังคับบัญชา ระดับสูงทุกประเภทเข้าสู่ระบบการเลือกตั้งทั้งหมดคงจ ะดี เพราะ ๔ปีมา ๔ ปีไป งานประจำคงไม่เสีย ไทยศึกษา หรือจะสู้ ฝรั่งศึกษา แล้วตามเฉพาะรูปแบบ (เหมือนเด็กลอกการบ้าน แต่ไม่รู้จริง แน่จริงคงไม่ต้องลอกเขามา)
กีฬามวยกีฬาไทยที่ทั่วโลกให้ความสนใจ เพราะศิลปะมวยไทยเน้นใช้ มือ เท้า เข่า ศอก รุกหรือป้องกันตนได้ดี ดูนายขนมต้มที่กษัตริย์พม่ายังชม ปัจจบันทีวีช่องต่าง ๆ ก็ถ่ายทอดมวยทุกเสาร์อาทิตย์ให้ดู และก้าวหน้าถึงขั้นจัดไปยังต่างประเทศ แขกฝรั่งจีนญี่ปุ่นให้ความสนใจกันทั่วหน้า มิน่าเลยพอการเมืองเข้าแทรกนำแสดงโดยแม้วและหลอกชาวบ ้านด้วยถ้วยรางวัลพระราชทานกระฉ่อนไปทั่ว นี่คนนักการเมืองท่านจะเว้นเรื่องดี ๆ ไว้บ้างสิ อย่าไปสร้างความเสียอารมณ์คนไทยเสียทุกเรื่อง (คนชอบมวย บ่น...)
ท้ายปี ๒๕๕๕ โลกไม่ได้แตกทำลายไป ปฏิทินมายาเป็นเพียงเครื่องมือบอกกาลเวลา ณ ช่วงหนึ่งของชีวิตคน เขาว่ากันว่าถ้าเทียบอายุโลกกับอายุเผ่าพันธุ์คนนั้น มนุษย์ยังมีเวลาไม่ถึงหนึ่งวันที่โลกเกิดมาเลย แต่สิ่งที่คนสร้างสรรค์และทำลายกันนั้น มากกว่าสิ่งมีชีวิตใด ๆ ที่จะกระทำต่อโลกใบนี้ได้ (หิริโอตัปปะ ยังทำให้เกิดสันติสุขได้ในสังคมมนุษย์ สวัสดีปีใหม่ ๒๕๕๖)
จากกีฬามาละคร คนไทยรู้กันอยู่แล้วว่า มวยไทย ละครไทย อยู่ในหัวใจมาตลอดทั้งชาวบ้านชาวกรุงเขาชอบละครไทยมา ตลอดตั้งแต่ยังมี ละครทางวิทยุ(ไม่มีภาพ มีแต่เสียง) สมัยก่อนคณะแก้วฟ้า คณะกันตนา ปู่ย่าตายายเปิดฟังเพลินๆตำน้ำพริกเคี้ยวหมากก่อนอาห ารเย็น เวลานี้พ่อแม่ลูกหลานก็ติดนิยายทีวีภาคค่ำไปเรียบร้อ ยแล้ว แต่นาน ๆ จะมีละครที่มีคุณค่า (เหมือนสมัยก่อนๆ) เช่น เหนือเมฆ ๒ ก็ดันถูกมือที่มองไม่เห็นมาสั่งปิด ระวังนะมือนั้นใกล้จะ"มองไม่เห็นจริง ๆ" (คนชอบละคร บ่น...)
ต้นปี ๒๕๕๕๖ ยุคตีเหล็กให้ร้อนกำลังฮิต ด้วยเร่งทั้งทางกีฬามวยที่ม้วยเอ้ย แม้ว นำแสดง ละครไทยมาเหนือเมฆ เบน เหนือเมฆ ๒ กรณีเขาพระวิหาร ๒๕๐๖ ถึงปี ๒๕๕๖ ระอุเดือด อธิบดีกรมทหารระบุสื่อสนธิ (ใกล้สตาร์บัง) ห่วย เลยเจอย้อนข้ามทะเลกลับชาติหน้ามาให้อภัย ลนความร้อนไปถึงเลือกตั้งกทม. แจ่มจริง ๆ นะ ของจริงของเท็จกำลังกวนในอ่างแห่งอ่าวไทยนี้ (คงไม่พ้นปีนี้ ทั้งรัฐนักการเมือง ทั้งราษฏร์ได้รู้จริง)
Bookmarks