กระบวนการรักษาความปลอดภัยในระบบคอมพิวเตอร์ที่สำคัญ อีกอย่างหนึ่งคือการจำกัดสิทธิ์ (Authorization) กระบวนการนี้เมื่อเทียบกับชีวิตประจำวันคือการที่เรา เข้าถึงพื้นที่ในอาคารต่างๆ ได้จำกัด หลังร้านอาหารอาจจะจำกัดเฉพาะพนักงานเข้าได้เท่านั้น ขณะที่ลูกค้าทั่วไปจะต้องอยู่ในบริเวณที่นั่งที่จัดไ ว้ หรือบริเวณชั้นผู้บริหารที่พนักงานทั่วไปไม่สามารถเข ้าใช้งานได้
จำกัดทางภายภาพ: เข้าถึงไม่ได้ตั้งแต่ภายนอก

การจำกัดสิทธิ์ในระบบคอมพิวเตอร์อาจจะเป็นการจำกัดกา รเข้าถึงคอมพิวเตอร์ตั่งแต่แรก คอมพิวเตอร์ในยุคแรกมี "กุญแจ" ที่ใช้ล็อกเครื่อง หากกุญแจไม่ปลดล็อกจะไม่สามารถบูตเครื่องขึ้นมาใช้งา นได้ แม้ว่าประสิทธิภาพของกระบวนการนี้จะมีจำกัด เพราะในความเป็นจริงกุญแจเป็นเพียงสวิตซ์บนเมนบอร์ดเ ท่านั้น หากผู้บุกรุกสามารถเข้าถึงตัวเครื่องได้ก็สามารถปลดล ็อกด้วยการถอดสวิตซ์เหล่านี้ออกได้โดยง่าย
ทุกวันนี้เซิร์ฟเวอร์หลายรุ่นเองที่ตัวเครื่องก็มักจ ะมี "สวิตซ์" เอาไว้ หากตัวถังเครื่องถูกเปิดขึ้นเมื่อใด เครื่องก็จะร้องเตือนเมื่อบูตครั้งต่อไป และต้องปิดเสียงร้องด้วยสิทธิผู้ดูแลระบบ เพื่อป้องกันการเปลี่ยนแปลงฮาร์ดแวร์ภายในเครื่อง

กระบวนการที่มีประสิทธิภาพกว่าคือการจำกัดสิทธิการเข ้าถึงตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ทีแรก เราเห็นในภาพยนตร์เรื่อง Mission Impossible ภาคแรกที่มีกระบวนการตรวจสอบอย่างหนาแน่น เพื่อที่จะเข้าถึงตัวคอมพิวเตอร์ได้
ระบบคอมพิวเตอร์ยุคใหม่ที่เน้นการทำงานผ่านระบบเครือ ข่ายทั้งภายในองค์กรหรือเครือข่ายอินเทอร์เน็ตไม่สาม ารถพึ่งพิงการจำกัดสิทธิทางกายภาพเพียงอย่างเดียวอีก ต่อไป แต่อย่างไรก็ตาม ระบบจำกัดสิทธิส่วนมากกลับถูกข้ามได้โดยง่ายหากผู้บุ กรุกสามารถเข้าถึงเครื่องโดยตรงได้ ศูนย์ข้อมูลที่ใช้เก็บเซิร์ฟเวอร์ส่วนมากจึงมักมีนโย บายป้องกันทางกายภาพอย่างแน่นหนา นับแต่การปิดบังที่ตั้งศูนย์ข้อมูลที่อาคารมักกลมกลื นไปกับอาคารอื่นๆ โดยไม่มีการระบุโดยตรงว่าเป็นศูนย์ข้อมูล และเมื่อเข้าไปภายในแล้วก็ยังมีการตรวจสอบสิทธิหลายช ั้นตอน

มาตรการป้องกันของศูนย์ข้อมูลทั่วไปยังรวมถึงการตรวจ สอบหลายชั้น ศูนย์ข้อมูลบางแห่งเมื่อเข้าไปแล้วผู้ที่เข้าไปจะถูก บังคับให้อยู่ในห้องขนาดเล็กเพื่อชั่งน้ำหนักขณะเข้า และออก เพื่อรับประกันว่าจะไม่มีการนำอุปกรณ์ใดๆ ออกไปจากศูนย์ข้อมูล ศูนย์ข้อมูลของกูเกิลที่เปิดเผยข้อมูลออกมาระบุว่าไม ่อนุญาตให้ฮาร์ดดิสก์กลับออกมาจากศูนย์ข้อมูลได้เพื่ อความปลอดภัย โดยจะ "บดทำลาย" ก่อนส่งออกมาจากศูนย์ข้อมูลเป็นเศษเหล็กเท่านั้น
เข้าไม่ได้แม้อยู่กับเราเอง

กระบวนการจำกัดการเข้าถึงทางกายภาพยังมีอีกแนวทางหนึ ่งนอกจากการจำกัดสิทธิไม่ให้คนที่ไม่มีสิทธิ์เข้าถึง คอมพิวเตอร์หรือข้อมูล แต่ในทางกลับกัน หากเราต้องการให้คนที่ไม่มีสิทธิ์นั้นเป็นผู้ครอบครอ งคอมพิวเตอร์นั้นไว้ตลอดเวลาแต่ไม่ต้องการให้เขาอ่าน ข้อมูลเหล่านั้นได้ หรือเข้าถึงข้อมูลเหล่านั้นโดยตรง
กระบวนการจำกัดสิทธิการเข้าถึงข้อมูลโดยตรงเกิดขึ้นต ลอดเวลา ตัวอย่างสำคัญ คือ ซิมการ์ดโทรศัพท์มือถือที่ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถื อไม่ต้องการให้เราสามารถอ่านข้อมูลภายในโดยตรงแต่กลั บต้องการให้เราถือครองตัวซิมการ์ดเอาไว้ หากเราสามารถรู้ความลับภายในซิมการ์ดได้ก็ถือเป็นรูร ั่วของระบบรักษาความปลอดภัยอย่างหนึ่ง (เคยเกิดขึ้นในการ์ด GSM รุ่นแรกๆ) หรือสมาร์ตการ์ดเช่นบัตรเครดิตที่ภายในมีกุญแจลับที่ ธนาคารผู้ออกบัตรไม่ต้องการให้ผู้ใช้บัตรสามารถอ่านก ุญแจนั้นออกมาได้เพราะจะทำให้สามารถสำเนาการ์ดไปใช้ง านได้
การจำกัดสิทธิไม่ให้ผู้ถือข้อมูลสามารถอ่านข้อมูลได้ เองทำได้ด้วยการป้องกันไม่ให้ผู้ใช้เข้าอ่านข้อมูลโด ยตรงได้ แต่ต้องอ่านผ่าน "คอมพิวเตอร์" ที่รันซอฟต์แวร์ที่เท่านั้น ในกรณีของซิมการ์ด เนื่องจากการ์ดมีขนาดเล็กมาก ตัวสมาร์ตการ์ดเองเป็นเพียงชิปเดี่ยวที่มีซีพียู, แรม, และพื้นที่เก็บข้อมูลถาวร (non-volatile) อยู่ภายใน ชิปขนาดเล็กมากนี้โดยทั่วไปแล้วหากต้องการเชื่อมต่อว งจรเพื่ออ่านหน่วยความจำภายในโดยตรงต้องใช้เครื่องมื อความละเอียดสูง ราคาแพง ทำให้เราสามารถอ่านข้อมูลภายในออกมาได้
อย่างไรก็ดีในปี 1999 ทีมวิจัยจากบริษัท Advanced Digital Security Research ร่วมกับห้องแลปจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ก็สาธิตกระบวน การถอดแยกวงจรรวมออกมาเป็นส่วนๆ ทำให้สามารถอ่านค่าใน ROM ที่เป็นตัวเฟิร์มแวร์ของการ์ดออกมาได้ แม้กระบวนการอ่านข้อมูลในแรมจะทำได้ยากกว่าเพราะไม่ส ามารถอ่านจากลายวงจรได้โดยตรง
การป้องกันข้อมูลจากผู้ครอบครองมี เช่น เครื่องเกมคอนโซลทุกวันนี้ล้วนมีเฟิร์มแวร์ภายในเพื่ อยืนยันซอฟต์แวร์อื่นๆ (อ่านเพิ่มเติมตอน Authentication) ความท้าทายสำคัญคือเฟิร์มแวร์ที่ใช้ยืนยันซอฟต์แวร์อ ื่นนั้นต้องไม่สามารถอ่านได้โดยผู้ใช้ทั่วไป เพื่อป้องกันการปลอมแปลงเฟิร์มแวร์นี้ ในสมัย Xbox นั้นวางเฟิร์มแวร์นี้ไว้ใน Northbridge ที่เชื่อมต่อกับซีพียูด้วยบัสสัญญาณนาฬิกา 700MHz โดยคาดว่าผู้ใช้ทั่วไปจะไม่มีเครื่องจับสัญญาณประสิท ธิภาพสูงเช่นนี้ ทำให้ไม่สามารถอ่านเฟิร์มแวร์ออกไปได้ แต่ทีมวิจัยตามมหาวิทยาลัยก็ใช่เครื่องมือประสิทธิภา พสูงดักรเฟิร์มแวร์ที่อ่านระหว่างบูตเครื่องแล้วปล่อ ยให้ดาวน์โหลดจนมีคนพบช่องโหว่มากมายในภายหลัง และ Xbox ก็ถูกแฮกจากช่องโหว่เหล่านั้นในเวลาต่อมา
POSIX: อ่าน, เขียน, รัน, ตัวเอง, พวกเราเอง, และใครก็ได้

เมื่อระบบคอมพิวเตอร์เมื่อพัฒนาไป แนวทางการใช้งานสำคัญคือการใช้งานร่วมกันระหว่างผู้ใ ช้จำนวนหลายๆ คน หากคอมพิวเตอร์ไม่มีระบบการจำกัดสิทธิก็จะเปิดให้ผู้ ใช้แต่ละคนเข้าไปอ่านและเขียนไฟล์ของผู้ใช้คนอื่นๆ ได้อย่างเสรี จึงเริ่มมีการพัฒนาการจำกัดสิทธิของผู้ใช้
สิทธิของผู้ใช้รูปแบบหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างสูง ทั่วโลก คือ สิทธิการเข้าถึงไฟล์คล้ายระบบยูนิกซ์ (Unix-like) โดยภายหลังผู้ผลิตยูนิกซ์หลายรายได้รวมตัวกันสร้างเป ็นมาตรฐานกลางที่ชื่อว่า POSIX ขึ้นมาแทนที่ ระบบจำกัดสิทธินี้ระบุให้ทุกไฟล์และทุกโฟลเดอร์ในเคร ื่องจะต้องมีตัวเลขกำหนดสิทธิ์ไว้สามชุด สำหรับผู้ใช้ที่เป็นเจ้าของไฟล์, ผู้ใช้ที่เป็นกลุ่มเดียวกับเจ้าของไฟล์, และผู้ใช้ทุกคนในเครื่อง โดยแต่ละไฟล์จะต้องมีชื่อเจ้าของไฟล์ และกลุ่มผู้ใช้เจ้าของไฟล์กำกับอยู่เสมอ
ตัวเลขสามชุดของ POSIX นั้นแทนด้วยตัวอักษรได้แก่ สิทธิอ่านไฟล์ (read - r), สิทธิเขียนไฟล์ (write - w), และสิทธิรันไฟล์ (execute - x) เมื่อนำมาเรียงกันเป็นกลุ่มก็ได้สิทธิของแต่ละกลุ่มเ ช่น rwxrw-r-- เช่นนี้คือเจ้าของไฟล์สามารถรันไฟล์ อ่านไฟล์ หรือเขียนไฟล์ได้ กลุ่มผู้ใช้เจ้าของไฟล์ที่ระบุไว้จะสามารถอ่านและเขี ยนได้แต่รันไม่ได้ และผู้ใช้อื่นๆ ในระบบจะอ่านได้อย่างเดียวเท่านั้น ในกรณีที่เป็นโฟลเดอร์ หากไม่มีสิทธิรันไฟล์ จะแปลว่าไม่สามารถเข้าไปยังโฟลเดอร์นั้นได้
ระบบในช่วงหลังมักแยกผู้ใช้ออกเป็นคนๆ โดยไม่มีการแชร์กันระหว่างกลุ่มมากนัก เมื่อติดตั้งลินุกซ์ปกติเมื่อเราสร้างผู้ใช้ใหม่ ระบบติดตั้งมักสร้างกลุ่มผู้ใช้ชื่อเดียวกับชื่อผู้ใ ช้ขึ้นมาด้วย ทำให้การแชร์โดยทั่วไปจะเป็นการกำหนดไฟล์ของเราเองแล ะไฟล์สำหรับผู้อื่น
ระบบไฟล์สมัยใหม่มักมีกระบวนการควบคุมการเข้าใช้งานซ ับซ้อนกว่า POSIX มาก เช่น NTFS ของวินโดวส์นั้นสามารถให้สิทธิในการเขียนต่อท้ายไฟล์ (append) โดยไม่เข้าไปแก้เนื้อหาที่เขียนไปแล้วได้
Karma-based: ทำได้ตามกรรมที่ทำมา

แนวทางการกำหนดสิทธิแบบหนึ่งที่เราพบกันคือการกำหนดต าม "กรรม" (karma) เว็บกลุ่มหนึ่งมักใช้แนวทางนี้ ด้วยการเพิ่มสิทธิให้ผู้ใช้เมื่อมีส่วนร่วมกับเว็บตา มที่กำหนดไว้ เว็บบอร์ดหนึ่งๆ อาจจะเปิดให้ผู้ที่ใช้เว็บบอร์ดอย่างต่อเนื่องสามารถ ลบกระทู้ หรือล็อกไม่ให้ผู้อื่นเข้ามาใช้งานต่อไปได้
ในสมัยหนึ่งแล้ว ระบบจัดการเนื้อหา (content management system - CMS) สองสายคือ Drupal และ Wordpress นั้นมีความต่างกันคือ Wordpress นั้นเลือกใช้ระบบการจำกัดสิทธิแบบกรรมนี้
ทุกวันนี้เว็บที่กำหนดสิทธิ์ระบบกรรมนี้คือ Stack Overflow ที่กำหนดคะแนนผู้ใช้เป็นค่า reputation เมื่อผู้ใช้ทำกิจกรรมต่างๆ ในเว็บตามเงื่อนไข ก็จะได้คะแนนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับสิทธิต่างๆ เช่น การโหวตกระทู้หรือคำตอบให้คะแนนติดลบจะต้องมีคะแนนสู งกว่าการให้คะแนนบวก การแก้ไขคำถามหรือคำตอบของผู้ใช้อื่น
Role-based: ต่างคน ต่างบทบาท

แม้ว่าเว็บในยุคแรกจะนิยมการให้สิทธิในระบบกรรมกันมา ก แต่เว็บจำนวนมากมีผู้ใช้ที่สิทธิต่างกันออกไป เช่น ผู้ใช้ที่ได้รับอนุญาตให้ลบความเห็นอาจจะเป็นพนักงาน โดยตรงที่มีสิทธิพิเศษทั้งที่ไม่ได้มีส่วนร่วมกับเว็ บมากมายอะไร กระบวนการให้สิทธิตามบทบาท (role-based) จึงเหมาะกับการจัดการมากกว่า
ตัวอย่างสิทธิบางส่วนของ Drupal เพื่อกำหนดให้กับบทบาทต่างๆ ในระบบ
กระบวนการจำกัดสิทธิตามบทบาทแบ่งออกเป็นสามส่วนได้แก ่

  1. สิทธิต่างๆ ในระบบ: ระบบจะต้องกำหนดสิทธิเอาไว้อย่างละเอียดเป็นต้นว่า สิทธิในการแก้ไขโพสของตัวเอง, สิทธิในการคอมเมนต์, สิทธิในการอ่านโพส, สิทธิการคอมเมนต์, หรือสิทธิในการลบคอมเมนต์
  2. สิทธิของแต่ละบทบาท: แต่ละบทบาทจะมีชุดของสิทธิที่กำหนดไว้ล่วงหน้า เช่น ผู้ดูแลความเห็นอาจจะมีสิทธิลบความเห็นผู้อื่น แต่ไม่มีสิทธิแก้ไขความเห็นของใครเลย หรือสิทธิผู้ดูแลระบบที่สามารถทำได้ทุกอย่าง สิทธิของผู้ดูแลโฆษณาที่สามารถเข้าจัดการกับโฆษณาของ เว็บได้
  3. บทบาทของผู้ใช้แต่ละคน: ผู้ใช้แต่ละคนจะสามารถมีได้หลายบทบทพร้อมกัน ผู้ใช้คนหนึ่งอาจจะเป็นผู้ใช้ทั่วไปที่มีสิทธิ์โพสคว ามเห็น แก้ไขความเห็นของตัวเอง และลบความเห็นของตัวเองได้ ขณะเดียวกันเขาอาจจะมีบทบาทผู้ดูแลความเห็น (moderator) ทำให้สามารถลบความเห็นของผู้ใช้คนอื่นๆ ไปด้วย

กระบวนการจัดการสิทธิอย่างพื้นฐานนั้น คือ เมื่อผู้ใช้มีบทบาทมากขึัน สิทธิที่ได้ตามบทบาทก็จะเพิ่มเติมไปเรื่อยๆ ด้วยเช่นกัน จนบางครั้งการเพิ่มบทบาทอาจจะไม่ได้เพิ่มสิทธิ์ใหม่ๆ แล้ว
ในระบบที่ซับซ้อนขึ้น บางระบบอาจจะมีบทบาทบางอย่างที่ห้ามมีสิทธิบางสิทธิ แม้จะมีบทบาทอื่นๆ ให้สิทธิมาก็ตามที ระบบที่ซับซ้อนเช่นนั้นจะต้องมีการจัดการถึงลำดับควา มสำคัญ กระบวนการนี้ซับซ้อนและแตกต่างกันไปในแต่ละระบบ
นอกจากระบบจัดการเว็บเนื้อหาที่ยกตัวอย่างมาแล้ว ระบบอื่นๆ อีกหลายอย่างก็ใช้กระบวนการจัดการสิทธิในแบบเดียวกัน วินโดวส์เป็นระบบปฎิบัติการที่ใช้การจัดการสิทธิตามบ ทบาทอีกตัวหนึ่ง ผู้ใช้ที่มีบทบาทเป็นผู้สำรองข้อมูลอาจจะมีสิทธิอ่าน ไฟล์ทำทุกไฟล์ในระบบแต่ไม่มีสิทธิเขียนหรือลบไฟล์ใดๆ
sudo: ทำแทนกัน

ระบบการจัดการสิทธิแบบหนึ่งที่นิยมใช้งานในลินุกซ์ช่ วงหลังคือ sudo ซึ่งเป็นคำสั่งที่เปิดให้ผู้ใช้ในระบบลินุกซ์คนหนึ่ง ๆ สามารถสั่งคำสั่งโดยเหมือนกับสั่งแทนผู้ใช้คนอื่นในร ะบบได้ โดยคำสั่งสำคัญส่วนมากเป็นคำสั่งที่ต้องการสิทธิ root เช่น การสั่งเพิ่มหรือถอนดิสก์ หรือการเข้าถึงไฟล์ที่ปกติไม่มีสิทธิเข้าถึง
คำสั่ง sudo ทำให้ผู้ดูแลระบบสามารถกำหนดคำสั่งที่ผู้ใช้คนหนึ่งๆ จะรันแทนผู้ใช้คนอื่นๆ ได้อย่างละเอียด เช่น ผู้ใช้คนหนึ่งอาจจะมีสิทธิดูแลเว็บเซิร์ฟเวอร์ ผู้ดูแลระบบอาจจะกำหนดให้ผู้ใช้คนนั้นสามารถรันสคริป ต์เพื่อหยุดเว็บเซิร์ฟเวอร์ และเริ่มการทำงานเว็บเซิร์ฟเวอร์ รวมถึงเข้าแกไ้ขไฟล์คอนฟิกของเว็บเซิร์ฟเวอร์ได้โดยใ ช้สิทธิ root ผู้ใช้ได้ที่สามารถ sudo เข้ามารันคำสั่งเหล่านั้นได้ จะไม่สามารถรันคำสั่งอื่นๆ ได้ ทำให้สิทธิถูกจำกัดไว้ทอย่างละเอียด
myuser ALL = (root) NOPASSWD: /usr/bin/vim
ัyouruser ALL = (root) /usr/bin/vim
ตัวอย่างการกำหนดสิทธิในระบบ sudo ข้างต้น เปิดให้ผู้ใช้ชื่อ myuser สามารถรันคำสั่ง vim เสมือนผู้ใช้ root เป็นผู้รัน โดนไม่ต้องถามรหัสผ่านซ้ำ เพียงแค่รันคำสั่ง sudo vim เท่านั้น ขณะที่ผู้ใช้ youruser จะเมื่อต้องการรันคำสั่ง vim ด้วยสิทธิ root ด้วยคำสั่งแบบเดียวกันจะถูกถามรหัสผ่านของ youruser เองเพื่อยืนยันซ้ำอีกครั้งก่อนจะให้รันในสิทธิ root
กระบวนการนี้ทำให้การจำกัดสิทธิสามารถทำได้อย่างละเอ ียด หากมีคำสั่งซับซ้อนเราสามารถเขียนสคริปต์เพื่อรันคำส ั่งทั้งหมดไว้ในสคริปต์เดียวแล้วเปิดสิทธิให้ผู้อื่น เข้าใช้งาน
Sandbox: เล่นได้ เลอะได้ แต่ไม่เดือดร้อนคนอื่น

ระบบการจัดการสิทธิที่เรากล่าวมาทั้งหมดเป็นระบบเพื่ อจัดการกับผู้ใช้ ไม่ให้เข้าถึงข้อมูล หรือบริการบางอย่างได้ แต่ในการใช้งานจริง การจำกัดสิทธิอีกรูปแบบหนึ่งที่เราใช้งานกันอยู่เสมอ คือการจำกัดสิทธิของซอฟต์แวร์ที่มารันบนเครื่องคอมพิ วเตอร์ของเราเอง

กระบะทราย (sandbox) ภาพโดย Artaxerxes
ขณะที่ระบบปฎิบัติการมีกระบวนการยืนยันซอฟต์แวร์ (กล่าวถึงในบท Authentication) แต่การปล่อยให้ซอฟต์แวร์สามารถทำงานได้โดยไม่มีการคว บคุมก็เปิดช่องให้ถูกโจมตีได้ง่าย บางครั้งซอฟต์แวร์ที่ไม่มีอันตรายใดๆ แต่กลับได้รับอินพุตที่มุ่งร้ายก็อาจจะทำให้กลายเป็น ช่องโหว่ระบบไปได้ ตัวอย่างที่เราพบกันบ่อยครั้งอาจจะเป็นมัลแวร์ที่แพร ่ผ่านไมโครซอฟท์เวิร์ค เพราะเวิร์คเองรองรับสคริปต์ภายในไฟล์
การติดตั้งซอฟต์แวร์อาจจะยืนยันความถูกต้องและความน่ าเชื่อถือของซอฟต์แวร์ได้ แต่การรับส่งข้อมูลเพื่อใช้งานจริงๆ นั้นเรากลับไม่สามารถตรวจสอบและรับเฉพาะข้อมูลที่น่า เชื่อถือได้เสมอไป
ตัวอย่างของการที่เราต้องรันโค้ดที่อาจจะไม่น่าเชื่อ ถือ คือ เว็บ ทุกวันนี้เมื่อเราเปิดเว็บขึ้นมาจะมีโค้ดจำนวนมากรัน อยู่บนเครื่องของเรา เพื่อตอบโต้กับเซิร์ฟเวอร์ในรูปแบบต่างๆ ขณะที่เว็บรุ่นใหม่ๆ มีความสามารถในการอ่านไฟล์, เขียนไฟล์, ดึงภาพจากกล้อง, อัดเสียงจากไมโครโฟน ฯลฯ สิ่งเหล่านี้สร้างความเสียหายให้กับเครื่องได้ไม่ต่า งจากซอฟต์แวร์เดสก์ทอป

เพื่อให้เว็บเบราว์เซอร์สามารถรันโค้ดเหล่านั้นได้โด ยยังปกป้องความปลอดภัยของผู้ใช้ แนวทางคือการให้ซอฟต์แวร์ที่ไม่น่าเชื่อถือเหล่านั้น รันด้วยสิทธิที่จำกัดอย่างมาก แล้วให้ขอสิทธิทีละอย่างเพิ่มจากผู้ใช้โดยตรง ตัวอย่างในภาพแสดงเมื่อโค้ดบนเบราว์เซอร์พยายามเก็บข ้อมูลถาวรลงในเบราว์เซอร์ เบราว์เซอร์จะถามผู้ใช้ว่ายอมเปิดสิทธินี้ให้กับโค้ด ของเว็บหรือไม่ หากไม่ยอมโค้ดก็จะไม่สามารถทำงานต่อไปได้ การให้สิทธิอย่างละเอียดทีละฟีเจอร์ของระบบ โดยตัวโค้ดไม่มีทางเข้าใช้ฟีเจอร์นั้นได้หากไม่ได้รั บอนุญาตเรียกว่าการป้องกันแบบ sandbox เลียนแบบกระบะทราย
ในระบบปฎิบัติการอุปกรณ์เคลื่อนที่รุ่นใหม่ๆ เช่น Android หรือ iOS ล้วนรันแอพพลิเคชั่นบน sandbox ของแต่ละแอพพลิเคชั่นทั้งสิ้น แต่ละแอพพลิเคชั่นจะสามารถเข้าถึงระบบปฎิบัติการได้อ ย่างจำกัดตามที่ขอสิทธิผู้ใช้ไว้ล่วงหน้าและจะไม่สาม ารถทำนอกเหนือจากสิทธิที่ขอไว้
ระบบปฎิบัติการรุ่นใหม่กว่านั้น เช่น Blackberry 10 เปิดให้ผู้ใช้เข้าจัดการสิทธิของแอพพลิเคชั่นได้ทุกเ วลา เช่น เราอาจจะต้องการลงทะเบียน LINE ผ่านทาง SMS เมื่อติดตั้งครั้งแรก เราจึงต้องอนุญาตให้ LINE อ่าน SMS ในเครื่องได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป แอพพลิเคชั่น LINE กลับมีสามารถที่จะอ่าน SMS ของเราได้ตลอดเวลา การปิดสิทธิบางอย่างออกเมื่อต้องการจึงเพิ่มความปลอด ภัยให้กับผู้ใช้ได้
กูเกิลเองก็มีแผนที่จะเพิ่มความสามารถในการจัดการสิท ธิของแอพพลิเคชั่นหลังจากติดตั้งไปแล้วในแอนดรอยด์ด้ วยเช่นกัน
ปัญหาความปลอดภัยจำนวนมากในช่วงหลังเกิดจากปัญหาความ ไม่มีประสิทธิภาพของระบบ sandbox แอพพลิเคชั่นที่มุ่งร้ายกลับสามารถเปลี่ยนแปลงข้อมูล ในเครื่องได้มากกว่าที่กำหนด เช่น โค้ดจาวาสคริปต์บนเว็บนั้นเมื่อเราเปิดเบราว์เซอร์ขึ ้นมา โดยพื้นฐานแล้วมันจะมีสิทธิจัดการกับเนื้อหาบนเว็บ สามารถติดต่อกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่เราดาวน์โหลดโค้ ดนั้นเข้ามา แต่หาก sandbox มีช่องโหว่ โค้ดจาวาสคริปต์เหล่านี้ก็อาจจะเข้ามารันซอฟต์แวร์บน เดสก์ทอป เปลี่ยนแปลงไฟล์ที่เราไม่ได้อนุญาตได้ การสาธิตช่องโหว่ความปลอดภัยของ sandbox หลายครั้งจึงต้องการเพียงแค่การรันโปรแกรมเครื่องคิด เลขบนเดสก์ทอปก็นับว่าเป็นช่องโหว่ความปลอดภัยแล้ว
ส่งท้าย

กระบวนการจำกัดสิทธิเป็นชิ้นส่วนสำคัญในระบบรักษาควา มปลอดภัยคอมพิวเตอร์ นับแต่การจำกัดการเข้าถึงทางภายภาพ มาจนถึงการจำกัดสิทธิในระบบที่ใช้งานร่วมกันหลายคน และแม้แต่ระบบที่ใช้งานเพียงคนเดียวแต่กลับไม่ไว้ใจแ อพพลิเคชั่นเช่นในอุปกรณ์เคลื่อนที่สมัยใหม่
ส่งท้ายรูปแบบการจำกัดสิทธิที่ไม่เกี่ยวกับคอมพิวเตอ ร์ "friendzoned"

In-Depth, Security




อ่านต่อ...