Thaiscooter.com - ประวัติรถจักรยาน /จักรยานยนต์ /และรถยนต์
                                
  • ประวัติรถจักรยาน /จักรยานยนต์ /และรถยนต์

    ประวัติ HONDA

    ตำนานฮอนด้า
    ชีวประวัติบุคคลยานยนต์โลก : โซอิชิโร ฮอนด้า
    < Biography of HONDA founder : Soichiro Honda >
    บุคคลซึ่งเป็น ตำนานฮอนด้า และสร้าง ประวัติฮอนด้า ให้ทั่วโลกได้รู้จักจนถึงทุกวันนี้












    จักรยานติดเครื่องยนต์ " บาตะ บาตะ ( putt putt ) "
    นวัตกรรมที่ มิสเตอร์ โซอิชิโร ฮอนด้า ประดิษฐ์ขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1946 หรือ พ.ศ.2489
    ปัจจุบันตั้งอยู่ที่ ฮอนด้าคอลเลคชั่น ฮอลล์ ( Honda Collection Hall ) ประเทศญี่ปุ่น
    เพื่อระลึกถึงความภาคภูมิใจและจุดเริ่มของพลังแห่งคว ามฝันที่เป็นจริงของฮอนด้า
    HONDA The Power of Dreams

    ขอขอบคุณที่มา : หนังสือ ฮอนด้า โซอิจิโร ชายผู้สร้างความฝันให้เป็นความจริง
    หนังสือ ชีวประวัติบุคคลยานยนต์โลก โซอิชิโร ฮอนด้า







    ในปัจจุบันมีบริษัทผู้ผลิตรถจักรยานยนต์มากมาย ซึ่งในบริษัทผู้ผลิตรถที่มีชื่อเสียงเหล่านั้น คงไม่มีใครที่ไม่รู้จักผลิตภัณฑ์ภายใต้ชื่อ ฮอนด้า แน่นอน ฮอนด้าเปิดสายการผลิตรถจักรยานยนต์ มาตั้งแต่อดีต มีการผลิตรถจักรยานยนต์ออกมามากมายหลายรุ่น ด้วย เทคโนโลยีที่เก้าทันกระแสการ เปลี่ยนแปลงของโลกตลอดเวลา แต่มีรถจักรยานยนต์ โมเดลหนึ่งซึ่งทุกคนอาจมองข้ามไปนั้น คือการผลิตของรถโมเดล Super CUP นั่นเอง สายการผลิตของรถจักรยานยนต์ในโมเดลนี้ มีจำนวนทั้งสิ้นมากกว่า 35 ล้าน คัน แล้วในปัจจุบันในช่วงปี 1959 – 1962 มีเปิดตัวสายการผลิต ครั้งแรกในรุ่น Honda c100 อย่างเป็นทางการ ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ปี2002 บริษัท Honda Moter โมเดล Super CUP co.,Ltd มีการเช็คจำนวนผลิตภัณฑ์ ทั้งหมดสำหรับ อีกครั้ง พบว่าในช่วงเวลา 44 ปีที่ผ่านมา สายการผลิต ของรถโมเดลนี้มีจำนวนมากถึง 35 ล้านคันแล้วนับจากสาม เดือนแรกที่มีการ จัดจำหน่ายสู่ท้องตลาดอย่างเป็นทางการในปี 1958 สายการผลิตในช่วงแรกของ Super CUP นั้นมีการออก แบบ และพัฒนาขึ้นโดยตรงจากฝีมือของนาย Soichiro Honda ผู้บริหารระดับสูงหรือเจ้าของบริษัทฮอนด้านั่นเอง โดยได้แนว ความคิด ในการออกแบบรถจักรยานยนต์สายพันธ์ใหม่นี้มาจากการควา มเอนกประสงค์ ของรถสกุตเตอร์ที่ทุกคน ในสมัยนั้นต่าง ก็ยอมรับในความสามารถรอบตัวของมัน เครื่องยนต์ของรถสกุตเตอร์ในสมัยนั้นแทบทั้งหมดจะเป็ น เครื่องยนต์แบบสองจังหวะ แต่สำหรับฮอนด้าโมเดล the Super CUP แล้วมีการปรับปรุงรูปแบบใหม่ด้วยการใช้เครื่องยนต์แบ บสี่จังหวะสมรรถภาพสูง 50ซีซี เข้ามาติดตั้งแทน ซึ่งเครื่องยนต์แบบนี้โดดเด่นมากกว่าของกำลังที่ ได้ความประหยัดเชื้อเพลิงที่สูงกว่า อีกทั้งยัง มีความทนทาน กว่าเครื่องยนต์สี่จังหวะ อย่างเห็นได้ชัด ในด้านของรูปลักษณ์ภายนอกมีการออกแบบให้ตัวรถ อยู่ในระดับต่ำเช่นเดียวกับ รถสกุต เตอร์แต่มีการออกแบบโครงสร้างตัวถังเป็นแบบ backbone frame แทน เพื่อให้ง่ายต่อการติดตั้งและ การถอดออกของ บังลม ด้านหน้า ซึ่งออกแบบมาเพื่อป้องกันโคลนสิ่งสกปรก และลม มาประทะขาของผู้ขับขี่ ที่สำคัญโครงสร้างตัวถังแบบนี้ยังเป็น วัตกรรม ใหม่ล่าสูดในสมัยนั้นอีกด้วย






    รถ Honda Classic
    สายการผลิตของ the Super CUP มีการปรับปรุงและพัฒนาสายการผลิตอย่างต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีในด้านของการขับขี่ ทั้งในด้านของสมรรถนะ เครี่องยนต์และความประหยัดเชื้อเพลิง แต่สิ่งหนึ่งซึ่งไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็น ได้ชัดนั้นคือ รูป ลักษณ์ภายนอก ซึ่งยังคงรูปแบบเดิมอยู่จนกระทั่งปัจจุบัน ในด้านของการตลาด the Super CUP กลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือก สำหรับ ตลาดรถเอนกประสงค์หรือรถสกุตเตอร์ในเวลาอันรวดเร็ว จนคำว่า CUP เกือบจะเป็นคำที่มีความหมายว่ารถ สกุตเตอร์ใช้ งานไปแล้วในตลาดรถสกุตเตอร์


    รถยอดนิยม ที่ปัจจุบันมีการสะสมมาก

    the Super CUP มีการส่งออกไปจำหน่ายที่สหรัฐอเมริกา เป็นครั้งแรกในปี1959 และไม่นานนักก็มีการส่งออกไปจำหน่ายใน 160 ประเทศ ทั่วโลกในเวลาต่อมา มีการเปิดสายการผลิตใน ประเทศต่างๆเพิ่มขึ้นมากมายกว่า 14 ประเทศเพื่อต้องการขยาย ตลาดไปยังประเทศในแถบ south-East Asia ทั้งหมด the Super CUP กลายเป็นรถที่มีความเอนกประสงค์มากที่สุด และ เป็นที่ รู้จักของของคนทั่วโลก นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันสำหรับสายการผลิตแรกของร ถจักรยาน ยนต์ ในตระกูล Super CUP
    คือ โมเดล Honda c100 Super CUP 50 มีสายการผลิตอยู่ในช่วง 1959-1962 มีการผลิตเฉดสีออกจำหน่ายสู่ท้องตลาด ทั้งสิ้น 4 สีด้วยกัน คือ สีทรูโทนแดงสดตัดขาว, สีขาวล้วน, สีทูโทนน้ำเงินตัดขาวและสีทูโทนดำตัดขาว ที่ด้านหน้าของตัวรถและที่ฐานเบาะ จะมีโลโก้อักษรภาษาอังกฤษว่า “CUB”และ” Super CUP” เป็นสัญลักษณ์สำหรับรถรุ่นนี้ ที่ไฟท้ายจะมีลักษณะเป็นทับทิมสีแดง เครื่องยนต์มีขนาดความจุ 49 cc สูบเดียน 4 จังหวะ OHV ใช้ระบบขับเครื่อง โดยชุดเกียร์แบบสามสปีด และระบบครัทช์แบบ ออโตเมติก สำหรับระบบสตาร์ท ในรุ่นนี้มีการผลิตออกมาเฉพาะ ระบบสตาร์ทโดยเท้าเท่านั้น

    รถ HONDA C70 ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก
    สำหรับรถที่มีการผลิตออกมาในช่วงแรก ๆ นั้นจะสังเกตได้จากเบาะที่มีขนาดมากกว่า จักรยานยนต์ในสายการผลิตถัดมา คือ Honda CA100 มันคือรถโมเดลใหม่ที่มาแทนที่ใน รุ่น C100 มีสายการผลิตในช่วงปี 1962-1970 มีการผลิตเฉดสีออกจำหน่าย สู่ท้องตลาดทั้งสิ้นสี่สีด้วยกัน เช่นเดียวกับโมเดล C100 นั้นคือ สีทูโทนแดงสดตัดสีขาว ,สีขาวล้วน,สีทูโทนน้ำเงินตัดขาว และ สีทูโทน ดำตัดขาว เครื่องยนต์ยังคงเป็นแบบสี่จังหวะ ขนาดความจุ 49 cc สูบเดียว OHV ใช้ระบบขับเคลื่อนโดยชุดเกียร์แบบ สามสปีด และระบบ ครัทซ์แบบออโตเมติก เช่นเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลง และสำหรับระบบสตาร์ทในรุ่นนี้มีการผลิตออกมา เฉพาะ ระบบสตาร์ทด้วยเช่นกัน ที่ด้านหน้าของตัวรถและที่ฐานเบาะจะมี โลโก้อักษรภาษาอังกฤษว่า “Honda 50” เป็นสัญลักษณ์สำหรับ รถรุ่นนี้ ไฟท้ายมีการออกแบบ ให้มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าโมเดลก่อนอย่างเห็นได้ชัด สายการผลิตของจักรยานยนต์ Super CUP 50 cc ไม่ได้มีการผลิตและจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่นเพียงอย่าง เดียวเท่านั้น และยังมีการส่งไปจำหน่ายอีกหลายประเทศทั่วโลก.


    กำเนิดลิงน้อย ฮอนด้า มังกี้ Honda Monkey
    เรื่องราวของลิงน้อย เริ่มต้นในปี ค.ศ. 1961 ( พ.ศ. 2504 ) ในโรงงานผลิตมอเตอร์ไซด์ฮอนด้า ประเทศญี่ปุ่นโดยที่พนักงานในโรงงานได้นำเครื่องยนต์ และอุปกรณ์ต่างๆ ของมอเตอร์ไซด์ที่ผลิตอยู่ในสายการผลิตมาลองใส่ในตัว ถังขนาดเล็กที่ทำขึ้นมาใหม่เพื่อ ทำให้เป็นมอเตอร์ไซด์ขนาดจิ๋วย่อส่วนไว้ขับขี่เล่นใน ยามว่าง หรือ นำพาติดรถไปขับขี่พักผ่อนนอกสถานที่ได้
    โดยนำเอาเครื่องยนต์ 4 จังหวะ ขนาด 50 ซีซี,ไฟส่องทาง,ชุดคันเร่ง,มือเบรค จากฮอนด้าคันใหญ่มาใช้ ส่วนตัวโครงและชิ้นส่วนโลหะอื่นๆ ใช้เศษโลหะที่เหลือจากการผลิตมอเตอร์ไซด์คันใหญ่มาทำ แล้วตกแต่งให้สวยงามโดยให้สีตัวโครงเป็นสีแดง ถังน้ำมันสีขาว ตัดกันอย่างลงตัว แล้วใส่ล้อจิ๋วขนาดเล็กเพียง 5 นิ้ว แล้วตั้งชื่อมอเตอร์ไซด์คันน้อยนี้ว่ารุ่น " แซด ร้อย " Z100 ในเวลานั้นยังไม่ใครนึกถึงชื่ออื่น
    Z100 ขับวิ่งเล่นครั้งแรกในสวนหย่อม ทามา เทค " Tama Tech " บริเวณรอบๆ โรงงานของฮอนด้านั้นเอง และก็เป็นที่ชื่นชอบของผู้ที่ได้ลองขับขี่ว่า ขี่สนุก ผู้ที่เห็นรูปร่างมอเตอร์ไซด์จิ๋วคันนี้แล้วจินตนากา รได้เหมือนกันว่า เหมือนกับลิงผอมตัวยาวๆ ที่แฝงไว้ด้วยความซุกซน จนมอเตอร์ไซด์จิ๋วคันนี้ถูกเรียกชื่อกันติดปากและรู้ จักกันภายในอย่างไม่เป็นทางการว่า " ฮอนด้า มังกี้ " " Honda Monkey " ที่ดูยังไง ยังไง ก็เหมือน "ของเล่น" มากกว่าเป็นมอเตอร์ไซด์
    ในช่วงแรกที่ทำขึ้นมานี้ยังไม่มีการวางแผนการผลิตอย่ างจริงจัง เหมือนเป็นเพียงโครงงานที่คิดขึ้นมาแล้วรอเช็คกระแสต อบรับอยู่ว่าจะไปรอด หรือไม่ แต่หลังจากที่ Z100 ผ่านสายตาพนักงานที่พบเห็นและลองขับขี่แล้วปรากฎว่า กระแสตอบรับดีมากมีแฟนๆ คลั่งไคล้ ทุกเพศทุกวัย ทุกคนที่พบเห็นล้วนแล้วแต่ปรารถนาจะเป็นเจ้าของ

    ฮอนด้า นำเจ้า Z 100 มาปรับปรุงให้ดีขึ้นเพื่อให้สามารถใช้ขับขี่บนถนนสาธ ารณะทั่วๆไปได้ ใช้เวลา 2 ปี พัฒนา จนกลายมาเป็นรุ่น " ซีแซด ร้อย " CZ 100 ในปี ค.ศ.1963 ที่พร้อมจะส่งออกไปขายในตลาดต่างประเทศซะด้วย ลิงตัวนี้ไม่ได้คิดอะไรมากได้ยกถังน้ำมันชุบโครเมี่ย มจากจากคันใหญ่ ลงมาใส่กับตัวโครงเล็กของมัน ดูผิวเผินกับคันแรกก็คงมีแค่ถังน้ำมันที่เปลี่ยนแปลง ไป จึงทำให้เจ้าลิงตัวนี้ดูเจ้าเนื้อขึ้นมาอีกหน่อยนึงเ ท่านั้นเอง

    และในปี ค.ศ. 1967 ( พ.ศ.​2510 )ถือได้ว่าเป็นช่วงเวลาสำคัญที่สุดของเจ้าลิงน้อย เพราะทางโรงงานพร้อมที่จะเปิดไลน์ผลิตจำนวนมากๆได้แล ้ว จึงจัดมังกี้อยู่ในส่วนหนึ่งของสายการผลิต จึงไม่ใช่เรื่องแปลกว่าทำไมคนรักลิงน้อยตัวนี้ที่อยู ่ต่างแดนทั่วโลกจึงเพิ่งรู้จักมันในปีนี้ ทั้งๆที่ตัวจริงของมันออกมาวิ่งเพ่นพ่านตั้งแต่ 6 ปีที่แล้วในญี่ปุ่น
    มังกี้รุ่นแรก ที่ทำตลาดอย่างจริงจังในญี่ปุ่นคือรุ่น Z50M ได้เปลี่ยนเครื่องยนต์จากระบบ โอเวอร์เฮดวาล์ว OHV มาใช้เครื่องยนต์ 4 จังหวะ ระบบ ซิงเกิลโอเวอร์เฮดแคมชาพ ของมอเตอร์ไซด์รุ่นยอดนิยมที่สุดของฮอนด้าในตอนนั้นค ือ ซุปเปอร์คัพ ซี 50 Super Cup C 50 ที่มี 3 เกียร์ คลัตช์อัตโนมัติ ที่เรียกกันว่ารถผู้หญิง นำมาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงแค่ ระบบไอดี ไอเสีย เฟืองทดเกียร์ และที่เพิ่มขึ้นมาพิเศษคือ มีวาล์วเปิดปิดที่ถังน้ำมัน เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำมันรั่วไหลออกมาเวลาจับนอนตะแค งเวลาขนขึ้นรถยนต์
    Z50M ถูกออกแบบให้มีแฮนด์แยกกันอิสระเป็น 2 ชิ้นสามารถคลายล็อค และพับเก็บได้ เบาะมีขนาดกระชับเพื่อให้สามารถใส่วางในห้องโดยสารรถ ยนต์ได้สะดวก
    สีสันบนตัวทำได้สวยสะดุดตาด้วยสีแดง ขาว และโครเมี่ยม " เบาะนั่งลายสก๊อต" ยิ่งทำให้ดูน่ารักเป็นอย่างยิ่ง
    สัดส่วนของลิงตัวนี้ทำได้น่ารักมาก ความกว้างของมันเมื่อคลายน๊อตยึดมือจับจะเหลือเพียง 35 เซนติเมตร ความสูงจากพื้นหดได้เหลือ 61 เซนติเมตร ความยาวก็เหลือเพียง 65 เซนติเมตร และตั้งราคาขายไว้ที่ 63,000 เยน (ในปี 1967นะจ๊ะ)
    ตามความเป็นจริงแล้ว เจ้าลิงน้อย Z50M ตัวนี้สามารถขับขี่วิ่งบนท้องถนนทั่วไปได้อย่างไม่มี ปัญหาใดๆ อยู่แล้ว แต่ติดอยู่ตรงที่ว่า ดูยังไงมันก็ยังดูเป็นของเล่นมากกว่าเป็นมอเตอร์ไซด์ วันยังค่ำ

    ในปี ค.ศ. 1969 ฮอนด้า มังกี้ รุ่น Z50A ก็ถูกผลิตออกมา มันถูกปรับปรุงอย่างมาก ตะเกียบหน้าถูกเปลี่ยนเป็นโช๊คอัพแบบกระบอก พร้อมอุปกรณ์เพิ่มความปลอดภัยอีกหลายรายการเช่น กระจกมองหลังและไฟเลี้ยว และเพื่อเพิ่มสมรรถนะในการขับขี่ให้ดียิ่งขึ้น ล้อที่แต่เดิมใช้ขนาด 5 นิ้ว จึงถูกเพิิ่มขนาดขึ้นเป็น 8 นิ้ว

    ในปี ค.ศ. 1970 ฮอนด้าเปิดตัวมังกี้ตัวใหมใช้ชื่อรุ่นว่า Z50Z เป็นรุ่นที่ได้พัฒนาปรับปรุงจากเดิมไปมาก เริ่มจากแฮนด์จับที่คลายพับง่ายกว่าเดิม และเมื่อพับแล้วใช้พื้นที่วางในรถน้อยกว่าเดิม สีสันที่ให้มากับลิงรุ่นนี้ก็ล้วนแต่สดใสมีชีวิตชีวา มีให้เลือก 3 อารมณ์คือ แดง candy – red , น้ำเงิน candy – blue และ เหลือง bright yellow และที่ถังน้ำมันออกแบบเป็น 2 สีตัดกัน( two – tone ) ลายใหม่


    ในปี ค.ศ. 1974 เราก็ได้เห็น มังกี้รุ่น Z50J ที่ต่อมากลายเป็นพื้นฐานของมังกี้ที่เราเห็นในปัจจุบ ัน คือได้นำเอาระบบต่างๆ ของมอเตอร์ไซด์คันใหญ่มาใช้หลายอย่าง ตั้งแต่ระบบกันสะเทือน สวิงอาร์มที่ล้อหลัง เฟรมแบบ backbone ที่แข็งแรง และกระทะล้อที่เป็นแบบมาตรฐาน ซึ่งการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงมากมายทั้งหมดที่กล่าวมาเ มื่อขับขี่จะรู้สึกได้ อย่างชัดเจนว่า ให้ความรู้สึกในการขับขี่ที่ดีเหมือนมอเตอร์ไซด์คันใ หญ่
    ต่อมาในปี ค.ศ. 1978 มังกี้ก็ได้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ ได้ปรับเปลี่ยนรูปทรงของถังน้ำมันทรงเหลี่ยมอย่างเดิ ม ที่คนรักมังกี้บ้านเราเรียกมาตลอดว่า " ถังมะละกอ " ให้มีความโค้งมนมากขึ้น กลายเป็นถังรูปทรง " หยดน้ำตา " " tear drop " ที่ชาวลิงน้อยเรียกให้เป็นมงคลนามสั้นๆ ว่า " ถังหยดน้ำ " ที่กลายมาเป็นรูปแบบของถังน้ำมันมังกี้จนถึงปัจจุบัน และได้ขยายขนาดเบาะนั่งให้ใหญ่ขึ้นอีกเล็กน้อย เพื่อให้เหมาะกับก้นฝรั่งตัวใหญ่ ทำให้ดูคล้ายกับรถมอเตอร์ไซด์ช๊อปเปอร์ของอเมริกัน เครื่องยนต์ก็มีกำลังมากขึ้น เพียบพร้อมด้วยระบบไฟสัญญาณต่างๆ เพื่อเพิ่มความปลอดภัย
    ในเดือน มกราคม เริ่มต้นของยุค มิเลเนี่ยม ปี 2000 ในวาระพิเศษเช่นนี้ ฮอนด้าก็ต้องมีอะไรดีๆ มาฝากคนรักมังกี้แน่นอน จึงได้ออกมังกี้รุ่นพิเศษผลิตในจำนวนจำนวนจำกัด 3,000 คันโดยใช้ชื่อรุ่นว่า มังกี้ " 2000 ANNIVERSARY " โดยใช้สีและลวดลายแบบเดียวกับมังกี้รุ่น Z50Z ที่ผลิตในปี ค.ศ. 197






    ฮอนด้าได้ผลิตมังกี้ออกมาอย่างต่อเนื่องโดยยังคงจุดเ ด่นที่สำคัญของมันตลอดมาคือ เป็นมอเตอร์ไซด์แคระคันเล็กๆ โดยที่เจ้าของมังกี้แต่ละคนสามารถตกแต่งมังกี้ของตนไ ด้อย่างตามใจชอบไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งเพื่อสวยงามภาย นอก หรือแต่งซิ่งเพื่อประลองความเร็ว โดยมีรายการของตกแต่งมากกว่า 1,500 รายการเชียวหละครับ
    กำเนิดกอริลลาน้อย






    เป็นที่ยอมรับในวงการสองล้อกันว่าฮอนด้า คือผู้บุกเบิกในการผลิตมอเตอร์ไซด์ขนาดจิ๋วของเล่น ในนาม มังกี้ ที่มีเสน่ห์ยั่วยวนแก่ผู้พบเห็นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1967 ( พ.ศ. 2510 ) ด้วยความน่ารักที่มีล้อขนาดเล็กเพียง 5 นิ้ว ช่วงล่างแบบแข็งตายตัว และ มีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครคือ มือจับสามารถพับเก็บได้เพื่อให้ใส่ไปในรถเก๋งไว้ให้ข ับขี่เล่นตามที่ต่างๆ ได้
    สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์หนึ่งเดียวในโลกของ มังกี้ ที่ไม่เหมือนใครนั้นเอง ทำให้ตัวมังกี้เองเป็นที่นิยมกลายเป็นตัวแทนของคนที่มีหัวใจหนุ่มตล อดกาล เจ้าลิงน้อยตัวนี้ได้เก็บบ่มปรับปรุงสมรรถนะของตัวเอ งให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ได้เปลี่ยนขนาดของยางจาก 5 นิ้วเพิ่มให้ใหญ่ขึ้นเป็น 8 นิ้ว พร้อมกับปรับปรุงระบบช่วงล่างดีขึ้นตามลำดับมาตลอด
    และแล้วในเดือน สิงหาคม ปี ค.ศ. 1978 ( พ.ศ.​ 2521 ) ฮอนด้าก็ได้เปิดตัวลิงน้อยน้องใหม่ของ มังกี้ออกมาโดยตั้งชื่อให้กับมันว่า กอริลลา"Gorilla" ตั้งรหัสผลิตว่าแซดห้าสิบเจทรี Z50J III
    เจ้า กอริลลา น้องมังกี้ตัวนี้ ใชพื้้นฐานของมังกี้มาออกแบบ ชิ้นส่วนหลายชิ้นก็ได้หยิบจาก มังกี้ผู้พี่มาใช้ ชิ้นหลักๆที่สำคัญคือโครงตัวถัง (Frame) และได้กำหนดเอกลักษณ์รูปแบบไว้อย่างชัดเจนคือ ต้องมีถังน้ำมันขนาดใหญ่กว่าเดิมเพื่อที่สามารถบรรจุ น้ำมันเชื้อเพลิงได้มากขึ้น ฮอนด้าจึงออกแบบให้ถังน้ำมันที่ออกแบบมาใหม่มีลักษณะ บวมแบบโอเวอร์ไซส์
    ์มีขนาดใหญ่เกินตัวอย่างมาก ทำให้สามารถบรรจุน้ำมันเชื้อเพลิงได้มากถึง 9 ลิตร มากกว่ามังกี้ผู้พี่ถึง 2 เท่า (มังกี้มาตรฐานมีความจุ 4.5 ลิตร ) ถังน้ำมันขนาดใหญ่เกินตัวนี้เองทำให้ดูคล้ายกับหน้าอ กที่บึกบึนของลิง กอริลลา จึงถูกนำมาตั้งชื่อภายหลัง
    และในขณะที่มังกี้มีคันบังคับเลี้ยว (handlebar) แยกเป็น 2 ชิ้นสามารถพับเก็บได้ แต่คันบังคับเลี้ยวของ กอริลลา จะติดเป็นชิ้นเดียวกันและยึดติดแน่นตายตัว มีใครทราบไหมว่าทำไมมังกี้จึงต้องออกแบบให้คันบังคับ เลี้ยวพับเก็บได้ เหตุผลก็แค่เพื่อให้สามารถขนใส่รถยนต์เพื่อนำไปขี่ที ่ไหนต่อไหนได้อย่างสะดวกเท่านั้นเองครับ แต่กอริลลานั้นมีแนวคิดในการสร้างต่างกัน มันถูกกำหนดให้ไปไหนมาไหนด้วยกำลังวังชาของมันเอง มันจึงไม่ต้องการมือจับที่พับเก็บได้ เพื่อขนใส่ในรถ พูดง่ายๆเปรียบเหมือนกับเด็กที่ไม่ยอมให้ผู้ใหญ่อุ้ม ฉันเดินไปเองได้จ้า
    อีกอย่างที่เป็นจุดเด่นของ กอริลลา นอกจากถังน้ำมันขนาดใหญ่ก็คือ ตะแกรงวางของด้านหน้า มังกี้จะมีตะแกรงวางของขนาดเล็กที่หลังเบาะบริเวณเหน ือไฟท้าย กอริลลาเห็นดีก็เอามาใช้เช่นกันแต่เพิ่มขนาดตะแกรงให้ใหญ่กว ่า ได้คืบเอาศอกแค่นั้นไม่พอกอริลลาได้เพิ่มตะแกรงข้างหน้าเข้าไปอีกโดยยึดติดไว้กับมือจ ับเหนือไฟหน้า ทำให้สามารถขนสัมภาระได้มากกว่า อีกด้วย
    ถังน้ำมันของกอริลลาที่บรรจุน้ำมันได้มากถึง 9 ลิตร ลองทายดูซิครับว่ามันจะพาเจ้าของบนเบาะใหญ่อวบของมัน ไปไกลได้แค่ไหน รับรองเดาไม่ถูกหรอกครับ เชื่อไหมครับว่ามันสามารถพาเจ้าของจากกรุงเทพด้วยน้ำ มันเต็มถังไปได้ไกลถึงลำปางเลยทีเดียว เพราะมีผลทดสอบออกมาแล้วว่า เมื่อน้ำมันเต็มถัง มันจะวิ่งได้ระยะทางถึง 630 กิโลเมตร เฉลี่ยแล้วน้ำมันเพียง 1 ลิตรมันไปได้ไกลถึง 70 กิโลเมตร ดูแล้วเหมือนได้เครื่องยนต์มหัศจรรย์มาใส่ ใช่ไหมครับ แต่เปล่าเลย ก็เครื่องยนต์ตัวเดียวกันแป๊ะๆ กับมังกี้นั้นเอง
    คือนำเอาเครื่องยนต์เบนซินจากมอเตอร์ไซด์รุ่นสุดฮิตค ือ ฮอนด้า ซุปเปอร์คัพ Honda Super Cup ที่มีขนาด 49 ซีซี ลูกสูบเดียว 4 จังหวะ ซิงเกิลโอเวอร์เฮดแคมชาฟ SOHC ระบายความร้อนด้วยอากาศแต่ใช้ระบบเกียร์ต่างกันคือ กอริลลา เลือกใช้ระบบเกียร์ธรรมดาแบบมีคลัตช์ 4 เกียร์ ส่วนมังกี้ในปีเดียวกันนั้นเลือกใช้ระบบเกียร์ธรรมดา แบบคลัตชอัตโนมัติ 3 เกียร์
    กอริลลา ได้พัฒนาอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกับมังกี้ ยาวนานถึงปี ค.ศ.​1992 แล้วสายการผลิตของกอริลลาก็หยุดลงโดยไม่แจ้งสาเหตุ แต่ด้วยความนิยมของประชาชนที่ยังคงมีต่อ กอริลลา ที่ไม่ได้ลดน้อยลงไปยังคงเห็น กอริลลาอยู่บ้างแต่ไม่มากนักเพราะส่วนใหญ่ถูกเก็บสะสม เป็นผลทำให้มูลค่าของ กอริลลาในเวลานั้นสูงขึ้นอย่างมาก
    ในเดือน กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1998 คนหัวใจลิงก็ได้ดีใจอีกครั้งเมื่อทราบว่าฮอนด้าสำนึก ผิดคิดได้ กลับมาเปิดสายการผลิต กอริลลา อีกครั้งด้วยการนำชิ้นส่วนแบบใหม่มาใช้ โดยเอามาจากมังกี้ที่ผลิตในปีเดียวกันนั้นเอง อย่างเช่น ไฟหน้าดวงใหญ่ และชิ้นส่วนจำนวนมาก อีกหลายชิ้นก็ใช้เป็นโครเมี่ยมตั้งแต่กระโหลกไฟหน้า บังโคลนหน้าและหลัง แต่ดันทะลึ่งตัดตะแกรงใส่ของด้านหน้าออกไป ไม่มีอีกแล้วบ๊ายบาย..
    ส่วนถังน้ำมันไซส์ยักษ์ ยังคงรักษาเอกลักษณ์ไว้เช่นเดิมทุกประการ เบาะนั่งถูกออกแบบใหม่ให้นั่งขับขี่สบายกว่าเดิม
    ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1999 ปีที่ทุกวงการทั่วโลกกำลังผวากับเรื่อง วายทูเค Y2K โดนฝรั่่งหลอกรับประทานกันถ้วนหน้า ฮอนด้าก็สร้างปฏิมากรรมชิ้นพิเศษออกมา นั่นคือ ฮอนด้า กอริลลา รุ่นพิเศษของฤดูใบไม้ผลิ "Honda Gorilla Spring Collection" ในความหมายของชื่อกอริลลารุ่นนี้ต้องการสื่อว่าเป็น "กอริลลาที่ทำให้โลกสว่างไสว" ดังนั้นทุกชิ้นส่วนของกอริลลารุ่นนี้ที่สายตามองเห็นจึงถูกจับมาชุบโครเมี่ยมซะแวว วาวไปหมด ตั้งแต่ถังน้ำมัน ฝาครอบด้านข้าง ตะเกียบล้อหน้า แผงครอบโซ่ สวิงอาร์ม ล้วนถูกชุบได้อย่างแววาว งดงาม สร้างแรงดึงดูดภายนอกได้อย่างดีเยี่ยม และฮอนด้าก็รับปากว่าจะทำให้มังกี้สว่างไสวเช่นเดียว กันครับ

    ประวัติ ความเป็นมา จักรยานยนต์

    รถจักรยานยนต์คันแรกของโลกถือกำเนิดขึ้นมาในโลกแห่งว ิศวกรรม เกือบจะเป็นเวลาเดียวกับรถยนต์ที่ใช้พลังขับเคลื่อนแ บบสันดาปภายในทั่วไป เพียงแต่ว่ารูปทรงในระยะแรกต้องอาศัยรถพ่วงเข้ามาเสร ิมบ้างอาศัยล้อที่ 3 เข้ามาช่วยบ้าง เพื่อการทรงตัวดีขึ้น โดยระยะแรกๆ นั้น เจมส์ วัตต์ ได้สร้างเครื่องจักรไอน้ำขึ้นมาเป็นตัวต้นกำลัง ซึ่งมีชิ้นส่วนขนาดค่อนข้างใหญ่ และมีน้ำหนักมาก ขีดจำกัดในการใช้งานของเครื่องยนต์ ชนิดนี้จึงถูกนำไปใช้ในยานพาหนะขนาดใหญ่ เพื่อให้เกิดการสมดุลในน้ำหนักที่ค่อนข้างมากของตัวต ้นกำลัง เช่นรถจักรไอน้ำที่เราคุ้นตามาแต่ยุคบุกเบิก หรือเรือกลไฟที่เราเคยใช้งานเพื่อขนถ่ยสินค้าตามลำน้ ำกันนั่นเอง
    ในช่วงปลายค.ศ 1884 นั้นน่าเป็นครั้งแรกที่มีการบันทึกถึงการเสนอผลงาน "พิมพ์เขียว" แสดงให้เห็นถึงการทำงานของเครื่องยนต์ สันดาปภายในขนาดเล็กที่จะมีการพัฒนาสำหรับการนำมาติด ตั้งในรถจักรยานยนต์เป็นครั้งแรก โดยทุนสนับสนุนของมหาเศรษฐีชาวอังกฤษชื่อ Edward Butler ด้วยเครื่องยนต์ ที่ใช้คาบูเรเตอร์เป็นตัวผสมอากาศเป็นครั้งแรก โดยใช้คอยล์จุดระเบิดเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการสันดาป ภายใน ห้องเผาไหม้ในเวลาดังกล่าวนั้น เครื่องยนต์แบบ 4 จังหวะของ OTTO ก็กำลังอยู่ในขั้นวิจัยระยะสุดท้าย โดยทางประเทศเยอรมันนี ก็ตั้งความหวังในการสร้างรถจักรยานยนต์คันแรกด้วยทีม งานของ Gottlieb Daimler และ Karl Benz ซึ่งต่อมาทั้งคู่สามารถสร้างได้สำเร็จ แต่เสียดายที่รถต้นแบบถูกไฟไหม้ไปพร้อมๆ กับโรงงานในปี ค.ศ. 1903
    ในช่วงปีค.ศ. 1892 เฟลิกซ์ธีโอดอร์มิลเลอร์ นักค้นคว้าชาวอังกฤษ ได้นำเอาเครื่องยนต์แบบ 5สูบ (ในวงการวิศวกรรมยานยนต์เรียกกันว่าสูบดาว) ส่งกำลังโดยตรงจากห้องข้อเหวี่ยงลงสู่ดุมของวงล้อโดย ตรง โดยมิลเลอร์ตั้งชื่อรถของเขาว่า Stellar ซึ่งมีความหมายว่าดวงดาว อย่างไร ก็ตามในอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศอังกฤษยุคบุกเบิกใน ปลายศตวรรษที่ 18 Mr. John Boyd Dunlop ซึ่งเป็นลูกชายของบริษัทผู้ผลิตยาง ดันล็อปได้เข้ามามีบทบาทเสริมในด้านการผลิตยานยนต์ด้ วย
    ส่วนประเทศอิตาลี Mr. Enrico Bernardi ได้นำเอาเครื่องยนต์ตัดหญ้ามาเป็นตัวต้นกำลังขับ-ผลักดันให้รถจักรยานธรรมดา กลายเป็นรถมอเตอร์ไซค์ได้สำเร็จเป็นคนแรกของประเทศอิ ตาลีในช่วงปี ค.ศ. 1893 โดยเครื่องยนต์ชนิดนี้ ให้แรงม้าสุทธิเพียงครึ่งแรงม้า ที่รอบเครื่อง 280-500 รอบ/นาที
    ขยับขึ้นมาอีก 2 ปี การพัฒนาเครื่องยนต์ขนาดเล็ก เพื่อนำมาติดตั้งในพาหนะระดับย่อย ก็เริ่มได้จุดลงตัว โดย Mr De Dion สามารถนำเอาเครื่องยนต์ แบบสูบเดี่ยว 4 จังหวะลงมาติดตั้งในรถ 3 ล้อขนาดเล็กได้สำเร็จโดยเครื่องยนต์ต้นแบบชุดนี้ ยังไม่มีคาบูเรเตอร์ แต่ใช้กรรมวิธีในการดึงเอาไอระเหยจากน้ำมันเบนซิน ป้อนเข้าไปในห้องเผาไหม้ในจังหวะดูด ส่วนผู้ที่สร้างระบบจุดระเบิดสำหรับใช้กระตุ้นจังหวะ งานของหัวเทียน คือ Mr Robert Bosch ซึ่งต่อมาได้พัฒนาระบบไฟฟ้า ทุกชนิดเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์จนกลายเป็นบริษัท ยักษ์ใหญ่ของวงการรถยนต์และพาหนะเกือบทุกชนิดไปในปลา ยศตวรรษที่ 19 จนถึงยุคปัจจุบัน ส่วนรถจักรยานยนต์ที่ใช้วงล้อเดี่ยวและสามารถผลิตลงส ู่ตลาดโลกได้สำเร็จ เป็นผลงานคละเคล้าอยู่หลายประเทศ เช่น อังกฤษ เยอรมนี อิตาลี และฝรั่งเศษ ทางด้านประเทศเยอรมนี น่าจะเป็นผลงานของเดมเลอร์ และเบนซ์ ก่อนที่จะยุบตัวลงในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 เนื่องจากต้องปรับผังของโรงงาน ออกมาสร้างยุทธปัจจัยต่างๆ เพื่อสนับสนุนกองทัพ ส่วนทางด้านอังกฤษ มีผลงานเด่นของ "Raleigh" ที่เริ่มผลิตรถจักรยานขายเป็นอุตสาหกรรมมาก่อน แล้วจึงนำเครื่องยนต์มาติดตั้งเอาไว้ที่แผงคอหน้ารถจ ักรยานในปี ค.ศ. 1899 ด้วยรูปทรงที่ค่อนข้างสมบูรณ์แบบในที่สุด
    จากยุค 1900 มาจนถึง 2004 นับเป็นเวลากว่า 100 ปีเศษ ที่วงการอุตสาหกรรมยานยนต์ก้าวเดินต่อมาด้วยแนวความค ิดอันหลากหลาย ของวิศวกรหลายชาติ และหลายประเทศ รวมมาถึงชนชาติญี่ปุ่นหนึ่งเดียวในเอเชียที่เริ่มก้า วเข้าสู่วงการผลิตรถลงสู่ตลาดโลกในช่วงหลังของปี ค.ศ. 1950 ชื่อของรถจากประเทศญี่ปุ่น ก็เริ่มดับรัศมี แนวความคิดเดิมๆ ของบริษัทยักษ์ใหญ่ของทวีปยุโรปลงอย่างสิ้นเชิงและแน ่นอนว่าชื่อของ ฮอนด้า ยามาฮ่า ซูซูกิ และคาวาซากิ คือ 4 ในกระแสของความนิยมในระดับสูงสุดที่ยังเหลือผู้ผลิตร ถจักรยานยนต์ลงป้อนตลาดโลกอยู่เพียงไม่กี่แห่ง จากจำนวนเกือบ 100 ยี่ห้อที่มีการผลิตรถในยุคก่อน สงครามโลกครั้งที่สองจะสงบลง
    รถจักรยานยนต์สมัยแรกๆ ที่เข้ามาในประเทศไทย ได้แก่ บีเอ็มดับบลิว ฮาร์เลย์ เดวิดสัน ไทรอัมพ์ จนกระทั่งเมื่อรถจักรยานยนต์จากญี่ปุ่น เริ่มเข้าตลาดเมืองไทยจนปัจจุบันนี้ เราจะเห็นแต่รถจักรยานยนต์จากประเทศญี่ปุ่นเป็นส่วนม าก ส่วนรถจักรยานยนต์จากประเทศยุโรป ก็ยังมีอยู่แต่มีราคาที่แพง กว่ามาก อะไหล่หายากจึงมีผู้สนใจเฉพาะผู้ที่รักรถจักรยานยนต์ จากยุโรปจริงๆ และผู้ที่มีกำลังเงินในการซื้อเท่านั้น


    Kreider(เยอรมัน) Florett K53m 50cc ปี 1959


    Zundapp(เยอรมัน)

    Solex


    Puch(ออสเตรีย)


    Ducat(อิตาลี) สูบตั้งโบราณ ปี 1948

    VELLOVEP


    American Motorcycle มอเตอร์ไซด์ อเมริกัน ฮาร์เลย์ เดวิดสัน

    ปี 1898 ในวอลทั่ม แมชซาชูเซต โรงงานผลิตรถยนต์สัญชาติ อเมริกัน ได้ก่อตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกภายใต้ชื่อว่า บริษัท วอลทั่ม อุตสาหกรรม จำกัด ซึ่งเคยผลิตรถจักรยาน ก่อนที่จะพัฒนาเป็นรถจักรยานยนต์ ต่อมาในปี 1901 บริษัท เฮนดี้ อุตสาหกรรม ในสปริงฟิลด์ แมชซาชูเซต ได้เริ่มต้นผลิตรถจักรยานยนต์ที่ใช้ชื่อว่า อินเดียน และเริ่มจำหน่ายจนมียอดขายติดตลาดตั้งแต่นั้นเป็นต้น มา Charles Metz หนึ่ง ในสองผู้ก่อตั้งบริษัทวอลทั่นได้แยกตัวออกไปก่อตั้งบ ริษัทผลิตรถจักรยานยนต์ของตัวเอง โดยได้ประดิษฐ์รถจักรยานยนต์ที่สามารถวิ่งด้วยความเร ็ว 1 ไมล์ต่อ 70 วินาทีได้สำเร็จ จากความสำเร็จ นั้นเอง ต่อมาในปี 1905 เขาได้ตัดสินใจเข้าร่วมกับบริษัทผลิตรถจักรยานยนต์ Marsh เพื่อก่อตั้งบริษัทผลิต รถจักรยานยนต์อเมริกัน และเป็นที่รู้จักกันในนาม MM การผลิตของ Merkel เริ่มต้นที่รัฐวิสคอนซิน ในปี 1902 เป็นรถจักรยานยนต์ที่มีชื่อเสียงทางด้านความเร็ว Merkel ได้ผลิตคิดค้นระบบต่างๆ ซึ่งเป็น มาตรฐานการผลิตของรถจักรยานยนต์ในปัจจุบัน
    ปี 1903 ฮาร์เลย์ เดวิดสัน ได้เริ่มต้นผลิตรถจักรยานยนต์ในรัฐวิสคอนซิน
    ปี 1906 บริษัทผลิตรถจักรยานยนต์อเมริกาได้เริ่มต้นผลิตรถจัก รยานยนต์ 1000 cc 4 แรงม้า เป็นครั้งแรก
    ปี 1907 อินเดียนผลิตเครื่องยนต์ V-twin และเริ่มนำเข้าในการแข่งขัน ซึ่งสร้างชื่อเสียงให้นักบิดที่ชื่อ Irwin Cannonball Baker ผู้ซึ่งขี่รถอินเดียนจากซานดิเอโก้ แคลิฟอร์เนียถึงนิวยอร์คโดยใช้เวลา 11 วัน 12 ชั่วโมง
    ในปี 1908 ฮาร์เลย์ เดวิดสัน ทำสถิติชนะเลิศการแข่งขันประเภทความเร็วสูงสุด ทำให้ชื่อ ฮาร์เลย์ เดวิดสัน ได้รับความนิยมในอเมริกานับแต่นั้นมา
    ปี 1909 ฮาร์เลย์ เดวิดสัน ผลิตเครื่องยนต์ V-twin 1000 cc 7 แรงม้า เป็นครั้วแรก และ V-twin ได้กลายมาเป็นเครื่องหมายการค้า และโลโก้ ในปี 1917 รถของฮาร์เลย์ได้ถูกนำมาใช้ใน กองทัพสหรัฐเพื่อใช้ในสงคราม ฮาร์เลย์จึงกลายเป็น บริษัทผลิตรถจักรยานยนต์รายใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริก า บริษัทของ Merkel ได้ปิดตัวลงในปี 1917 โดยในปี 1920 เหลือเพี่ยง 2 บริษัท ยักษ์ใหญ่ในสหรัฐ คือ ฮาร์เลย์ และอินเดียน ซึ่งยังทำการผลิตอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี
    ปี 1921 บริษัท MM ได้ปิดตัวลงหลังโลดแล่นอยู่ในวงการธุรกิจยานยนต์นานถ ึง 23 ปี
    ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 อินเดียนและฮาร์เลย์ ได้ผลิตรถจักรยานยนต์เพื่อใช้ในทางทหาร และในช่วงปลานสงครามโลกไม่ได้ทำให้ฮาร์เลย์ได้รับผลก ระเทือนอย่างใด แต่อินเดียนได้รับผลกระทบ จนทำให้ไม่สามารถดำเนินธุรกิจนี้ต่อ ต่อมาในปี 1950 อินเดียน หันมาทำการนำเข้ารถขนาดเล็กภายใต้ชื่ออินเดียนเหมือน เดิม จนในที่สุดต้องปิดตัวลงในปี 1962 ปล่อยให้ฮาร์เลย์เป็นผู้นำ และเป็นตำนานรถจักรยานยนต์นับตั้งแต่นั้นมา



    Harley davidson knucklehead ปี1946


    Harley Davidson wl 750 ปี 1942


    Harley davidson Ul Racing 1200cc. ปี 1940


    Harley davidson Vl 1200cc. ปี 1939


    Harley davidson FLHTCU Ultra Classic electra guide sidecar 95th aniversary Limited edition 1340cc. ปี 1998
    บทความนี้ เผยแพร่ครั้งแรกในกระทู้หัวข้อ ประวัติรถจักรยาน /จักรยานยนต์ /และรถยนต์ started by danwin999 View original post
    Comments 1 Comment
    1. chaiya_koolsuer's Avatar
      สุดยอดครับ