เกร็ดความรู้เล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับ """ ระบบจุดระเบิดของเครื่องยนต์แก๊สโซลีน""
                                
กำลังแสดงผล 1 ถึง 3 จากทั้งหมด 3

ชื่อกระทู้: เกร็ดความรู้เล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับ """ ระบบจุดระเบิดของเครื่องยนต์แก๊สโซลีน""

  1. #1
    Member vespa.never.die's Avatar
    วันที่สมัคร
    Sep 2007
    ข้อความ
    222
    ขอบคุณ
    0
    ได้รับขอบคุณ 0 ครั้ง ใน 0 ข้อความ
    ผลการให้คะแนน
    19

    Smile เกร็ดความรู้เล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับ """ ระบบจุดระเบิดของเครื่องยนต์แก๊สโซลีน""



    >>> เผอิญอ่านเจอมา ก็เลย ก๊อปมาให้อ่านกันคับ เพื่อนๆ พี่ๆ มีไรเพิ่มเติมชี้แนะด้วยคับ ..ขอบคุณมากคับ

    ระบบไฟจุดระเบิด
    ระบบจุดระเบิดของเครื่องยนต์แก๊สโซลีน
    เครื่องยนต์นั้นสามารถให้กำลังออกมาได้นั้นเนื่องจาก การเผาไหม้ภายในกระบอกสูบ แล้วดันให้ลูกสูบเคลื่อนที่ลง ไอดีเริ่มมีการเผาไหม้เมื่อเกิดประกายไฟ ซึ่งมาจากระบบหนึ่งในเครื่องยนต์ที่เรียกว่า แมกนีโต ในส่วนของตัวแมกนีโตนั้นประกอบไปด้วยส่วนประกอบหลายช ิ้นที่ทำงานร่วมกันเพื่อทำให้เกิดประกายไฟ โดยส่วนประกอบที่สำคัญภายในแมกนีโตนั้นประกอบไปด้วย
    แม่เหล็กแมกนีโต
    ตัวแม่เหล็กแมกนีโตนั้นจะติดอยู่ในบริเวณล้อช่วยแรงข องเครื่องยนต์ ซึ่งอาจจะเป็นภายนอกหรือภายในของล้อช่วยแรง โดยจะยึดกับด้วนหมุดเกลียว โดยแม่เหล็กจะหมุนไปพร้อม ๆ กับล้อช่วยแรงเพื่อใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า


    อาร์มาเจอร์และคอยล์
    เป็นส่วนประกอบที่ตัวหนึ่งที่มีส่วนในการผลิตกระแสไฟ ฟ้าให้เพียงพอต่อการจุดระเบิด ตัวอาร์มาเจอร์นั้นทำจากแผ่นเหล็กอ่อนซ้อนกันหลาย ๆ แผ่น แล้วอัดติดกันอย่างแน่นหนา เพื่อเป็นทางเดินของเส้นแรงแม่เหล็ก ตัวคอยล์กับอาร์เมเจอร์นั้นจะยึดติดอยู่ด้วยกัน ภายในคอยล์มีลวดตัวนำเส้นใหญ่ เส้นลวดนี้จะพันรอบตัวอาร์มาเจอร์ในบางส่วน ซึ่งขดลวดนี้เรียกว่า ขดลวดปฐมภูมิ ปลายข้างหนึ่งนั้นจะต่อกับอาร์มาเจอร์ และปลายอีกข้างหนึ่งจะต่อกับหน้าทองขาวซึ่งทำหน้าที่เป็นสวิตซ์ และภายในคอยล์ยังมีขดลวดอีกชุดหนึ่งเรียกว่า ขดลวดทุติยภูมิ ขดลวดทุติยภูมินี้จะพันรอบขดลวดปฐมภูมิและอาร์มาเจอร์เช่นกัน โดยมีจำนวนรอบมากกว่าขดลวดปฐมภูมิหลายเท่า แต่เส้นลวดตัวนำของลวดทุติยภูมิจะมีขนาดเล็กกว่า ปลายข้างหนึ่งของขดลวดทุติยภูมิต่อเข้ากับอาร์มาเจอร์ ส่วนปลายอีกข้างหนึ่งต่อเข้ากับสายไฟเส้นใหญ่ซึ่งต่อไปยังหัวเทียน

    ตัวอาร์มาเจอร์และคอยล์นั้นจะติดตั้งอยู่ใกล้กับล้อช ่วยแรง โดยแม่เหล็กจะยึดติดกับส่วนนอกของล้อช่วยแรงอาร์มาเจ อร์และคอยล์จึงได้รับการติดตั้งอยู่ที่ตำแหน่งเหนือล ้อช่วยแรง แต่ในเครื่องยนต์บางแบบนั้นแม่เหล็กจะติดตั้งอยู่ภาย ในล้อช่วยแรง ซึ่งทำให้ต้องติดตั้งอาร์มาเจอร์และคอยล์ใต้ล้อช่วยแ รงตามไปด้วย




    การทำงานของแม่เหล็กและคอยล์
    เนื่องจากแท่งแม่เหล็กยึดติดกับล้อช่วยแรงและหมุนไปพ ร้อม ๆ กัน ในขณะที่ล้อช่วยแรงหมุนจนกระทั้งแท่งแม่เหล็กเคลื่อน ที่มาอยู่ใต้อาร์มาเจอร์ เส้นแรงแม่เหล็กจากแท่งแม่เหล็กจะเคลื่อนที่จากปลายข ้างหนึ่งของแท่งแม่เหล็กเข้าสู่อาร์มาเจอร์ และจะย้อนกลับเข้าสู่แท่งแม่เหล็กตามเดิม และเมื่อล้อช่วยแรงหมุนต่อไปอีกเล็กน้อย แท่งแม่เหล็กจะมาอยู่ในตำแหน่งใต้อาร์มาเจอร์อีกข้าง หนึ่ง เส้นแรงแม่เหล็กจะผ่านเข้าอาร์มาเจอร์ในทิศทางตรงกัน ข้ามกับตอนแรก การเปลี่ยนทิศทางของเส้นแรงแม่เหล็กจะทำให้เกิดไฟฟ้าจำนวนเล็กน้อยขึ้นในขดลวดปฐมภูมิ แต่เนื่องจากไฟฟ้าจำนวนเล็กน้อยนั้นไม่สามารถนำมาใช้ จุดระเบิดไอดีได้ จึงต้องทำการเปลี่ยนไฟฟ้าที่เกิดขึ้นในขดลวดปฐมภูมิไปเป็นไฟฟ้าแรงดันสูงในขดลวดทุติยภูมิ
    ทองขาว
    เป็นสวิตซ์ซึ่งควบคุมการเปิดและปิดโดยเพลาข้อเหวี่ยง หรือเพลาลูกเบี้ยว ตัวทองขาวนั้นจะมีหน้าสัมผัสด้วยกันสองหน้า คือ หน้าเคลื่อนที่และหน้าคงที่ หน้าที่เคลื่อนที่นั้นจะยึดติดกับแขนและมีแกนส่งดันใ ห้แขนขยับไปมาได้ตามจังหวะการหมุนของเพลาข้อเหวี่ยง ส่วนหน้าคงที่ถูกยึดแน่นไม่ขยับตัว
    ตัวทองขาวนั้นจะเปิดปิดโดยส่วนกลมของเพลาข้อเหวี่ยงจ ะดันให้หน้าทองขาวแยกออกจากกันโดยส่งแรงดันผ่านแกนส่ ง และสปริงจะดึงให้หน้าทองขาวเข้าสัมผัสกันเมื่อแกนส่ง อยู่บนส่วนแบนของเพลาข้อเหวี่ยง
    เครื่องยนต์บางชนิดมีหน้าทองขาวซึ่งเปิดและปิดโดยลูก เบี้ยว ลูกเบี้ยวยึดติดกับเพลาข้อเหวี่ยงและหมุนไปพร้อม ๆ กัน เมื่อส่วนนูนของลูกเบี้ยวสัมผัสกับแขนของหน้าทองขาวจ ะทำให้หน้าทองขาวเปิดออก
    การทำงานของทองขาว
    เมื่อแท่งแม่เหล็กบนล้อช่วยแรงเคลื่อนที่ผ่านอาร์มาเ จอร์จะเกิดไฟฟ้าจำนวนหนึ่งของขดลวดปฐมภูมิยึดต่อกับอาร์มาเจอร์ ส่วนปลายอีกข้างหนึ่งยึดต่อกับแขนหน้าทองขาว ไฟฟ้าจึงสามารถไหลผ่านขดลวดปฐมภูมิเข้าสู่แขนหน้าทอง ขาว และผ่านหน้าทองขาว สงสู่สายดิน
    เมื่อล้อช่วยแรงหมุนต่อไปอีกเล็กน้อย หน้าทองขาวจะเปิดออก ขดลวดปฐมภูมิจึงขาดไฟฟ้าไหลผ่าน สนามแม่เหล็กรอบขดลวดปฐมภูมิจึงล้มตัว และการล้มตัวนี้จะเหนี่ยวนำให้เกิดสนามแม่เหล็กรอบขดลวดทุติยภูมิ ทำให้เกิดไฟฟ้าแรงดันสูงขึ้นในขดลวดทุติยภูมิซึ่งอาจมีค่าสูงถึง 25,000 โวลต์
    คอนเดนเซอร์
    ในขณะที่หน้าทองขาวเปิดออก ไฟฟ้าจะต้องหยุดไหลอย่างทันที ไม่เช่นนั้นแล้วเราจะไม่สามารถสร้างไฟฟ้าแรงดันสูงได ้ เพราะในขณะที่หน้าทองขาวขยับเปิดออก ไฟฟ้าจะพยายามกระโดดข้ามช่องว่างระหว่างหน้าทองขาว ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจะทำให้ไม่มีสนามแม่เหล็กไปเหนี่ยวนำให้เกิดไฟฟ้าแรงดันสูงได้ นอกจากนี้ประกายไฟฟ้าที่เกิดขึ้นที่หน้าทองขาวจะทำให ้หน้าทองขาวไหม้และเสียหายในที่สุด ซึ่งทำให้ทองขาวมีอายุการใช้งานสั้นลง จึงได้มีการนำเอาคอนเดนเซอร์มาใช้เพื่อป้องกันการกระโดดของไฟฟ้าข้ามช่องว่างระหว่างหน้าทองขาว
    ตัวคอนเดนเซอร์จะติดตั้งอยู่ใกล้กับทองขาวเพราะลวดตั วนำของคอนเดนเซอร์จะต้องต่อเข้ากับหน้าคงที่ของทองขา ว
    สายหัวเทียน
    สายหัวเทียน คือ ขดลวดตัวนำที่นำกระแสไฟฟ้าแรงดันสูงจากขดลวดทุติยภูม ิส่งไปหัวเทียน สายหัวเทียนนี้จะต้องมีฉนวนหุ้มเพื่อป้องกันการรั่วไ หลของไฟฟ้าแรงดันสูง ทนต่อการสึกหรอ ทนน้ำ และทนน้ำมันได้ดี ปลายข้างหนึ่งของสายหัวเทียนจะบัดกรีติดกับคอยล์ ส่วนปลายอีกข้างหนึ่งมีขั้วต่อสำหรับเชื่อมต่อกับหัว เทียน
    หัวเทียน
    หัวเทียนมีหน้าที่รับไฟฟ้าแรงดันสูงจากแมกนีโตและทำห น้าที่ให้ประกายไฟฟ้าเพื่อจุดระเบิดเผาไหม้
    ตัวของหัวเทียนนั้นจะแบ่งออกเป็นสองส่วน ดังนี้ ส่วนบน ส่วนบนของหัวเทียนจะมีขั้วต่อสำหรับต่อกับสายหัวเทีย น และขั้วต่อของหัวเทียนจะต่อกับขั้วกลางซึ่งเป็นแกนกล างของหัวเทียน ขั้วกลางของหัวเทียนนั้นจะถูกหุ้มด้วยฉนวนกระเบื้องเ คลือบซึ่งมีสันเป็นคลื่น สันนี้จะช่วยเพิ่มระยะห่างระหว่างขั้วต่อกับขั้วดินข องหัวเทียน เพื่อลดการรั่วไหลของกระแสไฟฟ้าข้ามฉนวนโดยเฉพาะอย่า งยิ่งเมื่อฉนวนสกปรกหรือเปียก
    ส่วนล่าง ส่วนล่างของหัวเทียนมีระยะห่างระหว่างขั้วกลางและขั้ วดิน เรียกว่าระยะเขี้ยวหัวเทียน และระยะห่างระหว่างขั้วกลางและขั้วดินจะทำให้เกิดการ กระโดดข้ามของกระแสไฟฟ้าแรงดันสูงเพื่อให้เกิดประกาย ไฟ ซึ่งส่วนนี้จะยื่นเข้าไปในห้องเผาไหม้เพื่อทำให้เกิด การจุดระเบิด




    สวิตซ์หยุด
    สวิตซ์หยุด เป็นสวิตซ์ที่ใช้หยุดการทำงานของเครื่องยนต์ โดยจะทำหน้าที่ตัดวงจรไฟฟ้าของระบบจุดระเบิดให้ไฟฟ้า ของระบบจุดระเบิดให้ไฟฟ้าไหลลงขั้วดิน การตัดวงจรไฟฟ้าโดยต่อลงขั้วดินอาจกระทำที่ขดลวดปฐมภ ูมิของแมกนีโ ต หรืออาจกระทำที่สายหัวเทียนก็ได้
    การตัดวงจรไฟฟ้าโดยต่อลวดตัวนำของขดลวดปฐมภูมิลงขั้ว ดินนั้น สามารถกระทำได้โดยต่อลวดตัวนำเข้ากับหน้าเคลื่อนที่ข องทองขาว แล้วโยงลวดตัวนำนั้นเข้ากับสวิตซ์หยุดซึ่งต่อกับขั้ว ดิน เมื่อสวิตซ์ทำงานกระแสไฟฟ้าจะไหลลงขั้วดินและเครื่อง ยนต์จะหยุดทำงาน
    ส่วนการตัดวงจรไฟฟ้าโดยต่อสายหัวเทียนลงขั้วดินก็สาม ารถทำได้โดยติดตั้งสวิตซ์หยุดใกล้ขั้วต่อหัวเทียนและ ต่อสวิตซ์หยุดกับขั้วดิน เมื่อโยกสวิตซ์หยุดให้สัมผัสกับขั้วต่อหัวเทียน ไฟฟ้าแรงดันสูงจะไหลลงขั้วดินแทนการไหลผ่านหัวเทียน เครื่องยนต์จึงหยุดทำงาน

    การจุดระเบิดด้วยระบบซีดี
    ระบบซีดีมาจากภาษาอังกฤษว่า CD system ( CD ย่อมาจาก Capacitive Discharge) ระบบนี้เป็นระบบจุดระเบิดแบบใหม่ที่ไม่ใช้ทองขาวแต่ใ ช้หลักการเก็บและปล่อยแรงดันไฟฟ้าจากคอนเดนเซอร์หรือคาปาซิเตอร์
    เนื่องจากทองขาวมีอายุการใช้งานจำกัด และถ้าหน้าทองขาวสึกหรือกร่อนจะทำให้เครื่องยนต์สตาร์ทยากและวิ่งสะดุด จึงต้องเปลี่ยนทองขาวบ่อย ๆ เพื่อให้เครื่องยนต์ทำงานปกติ ระบบซีดีจะแก้ปัญหานี้ออกไปได้ ในระบบซีดีนี้จะต่อคาปาซิเตอร์เข้ากับขดลวดปฐมภูมิขอ งคอยล์จุดระเบิด เมื่อคาปาซิเตอร์ปล่อยประจุเข้าขดลวดปฐมภูมิ สนามแม่เหล็กจะเกิดขึ้นและเหนี่ยวนำให้ขดลวดทุติยภูม ิเกิดไฟฟ้าแรงดันสูงคอยล์ไม่ได้ทำหน้าที่เก็บประจุแต ่ทำหน้าที่เพิ่มแรงดันไฟฟ้าจากคาปาซิเตอร์ให้สูงขึ้น พลังงานที่สร้างขึ้นด้วยวิธีนี้จะสูงกว่าที่ได้จากระ บบจุดระเบิดธรรมดา หลังจากนั้นคาปาซิเตอร์จะตัดขาดจากคอยล์ และเริ่มประจุใหม่อีกครั้งหนึ่งเพื่อเตรียมพร้อมที่จ ะปล่อยประจุในครั้งต่อไป
    ในการสร้างประจุเข้าเก็บสะสมในคาปาซิเตอร์ จึงจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่า อินเวอร์เตอร์ เพื่อเปลี่ยนกระแสไฟตรงแรง (DC) ดันต่ำจากคอยล์ประจุไปเป็นกระแสไฟสลับ (AC) กระแสไฟสลับนี้ถูกเปลี่ยนกลับไปเป็นกระแสไฟตรง โดยวงจรเรกติฟายเออร์ ไฟฟ้าเมื่อผ่านอินเวอร์เตอร์และเรกติฟายเออร์แล้วจะป ระจุเข้าคาปาซิเตอร์ด้วยแรงดันไฟฟ้าประมาณ 400โวลต์ แรงดันไฟฟ้า 400 โวลต์ที่ประจุในคาร์ปาซิเตอร์ต้องปล่อยประจุเข้าขดลว ดปฐมภูมิของคอยล์ในเวลาที่ถูกต้องสำหรับการจุดระเบิด แท่งแม่เหล็กที่ล้อช่วยแรงจะเป็นตัวทำให้เกิดกระแสไฟ ฟ้าเพื่อใช้เป็นสัญญาณกระตุ้นในคอยล์ทริกเกอร์ สัญญาณกระตุ้นจากคอยล์ทริกเกอร์นี้ไหลผ่านไปยังเอสซีอาร์ (SCR ย่อมาจาก Silicon Controlled Rectifier ) ซึ่งเมื่อเอสซีอาร์รับสัญญาณจากคอยล์ทริกเกอร์แล้ว จะปรับวงจรให้คาปาซิเตอร์ปล่อยประจุเข้าสู่คอยล์จุดร ะเบิด ไฟฟ้าแรงดันสูงจากคอยล์จุดระเบิดจะส่งโดยตรงไปยังหัว เทียน หลังจากนั้นเอสซีอาร์จะปรับวงจรใหม่อีกครั้งหนึ่งทำให้คาปาซิเตอร์ถูกประจุเพื่อเตรียมพร้อมที่จะปล่อยประจุ ต่อไป

    ระบบจุดระเบิดของเครื่องยนต์ดีเซล
    ในเครื่องยนต์ดีเซลนั้นน้ำมันเชื้อเพลิงจะถูกเผาและต ิดไฟโดยความร้อนที่เกิดจากการอัดอากาศภายในกระบอกสูบ ของเครื่องยนต์ คือก่อนที่จะสิ้นสุดจังหวะอัดเล็กน้อย เชื้อเพลิงจะถูกฉีดเป็นฝอยละอองเข้าไปภายในกระบอกสูบ ละอองเชื้อเพลิงจะได้รับความร้อนจากการอัด ( อุณหภูมิของอากาศที่ถูกอัดในกระบอกสูบประมาณ 900 – 950 องศาฟาเรนไฮด์ ) ก็จะเริ่มต้นเปลี่ยนสภาพเป็นไอระเหยในไม่ช้าไอระเหยบ างส่วนจะเริ่มติดไฟขึ้น ซึ่งเป็นการเพิ่มความร้อนให้สูงขึ้นอีก และช่วยให้ไอระเหยส่วนอื่น ๆ ติดไฟต่อไปอีก
    ความล่าช้าในการจุดระเบิด ระยะเวลาที่เสียไปในการทำละอองเชื้อเพลิงให้ร้อนขึ้น และเปลี่ยนสภาพของละอองให้เป็นไอระเหยจนกระทั่งเริ่ม ต้นการเผาไหม้เราเรียกระยะนี้ว่า ความล่าช้าในการจุดระเบิด ความล่าช้านี้ขึ้นกับคุณสมบัติในการจุดระเบิดของน้ำม ันเชื้อเพลิงและสภาพการณ์อื่น ๆ อีก เช่น ความเร็วของเครื่องยนต์


    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย vespa.never.die : 18-08-2010 เมื่อ 20:51

  2. #2
    Member Ejizen's Avatar
    วันที่สมัคร
    Jan 2008
    ข้อความ
    174
    ขอบคุณ
    0
    ได้รับขอบคุณ 0 ครั้ง ใน 0 ข้อความ
    ผลการให้คะแนน
    18

    มาตรฐาน

    สุดยอดคับ ขอบคุณมาก

  3. #3
    Member vespa.never.die's Avatar
    วันที่สมัคร
    Sep 2007
    ข้อความ
    222
    ขอบคุณ
    0
    ได้รับขอบคุณ 0 ครั้ง ใน 0 ข้อความ
    ผลการให้คะแนน
    19

    มาตรฐาน


    การสันดาป

    การสันดาปเป็นปฏิกิริยาการรวมตัวกันของเชื้อเพลิงกับ ออกซิเจนอย่างรวดเร็วพร้อมเกิดการลุกไหม้และคายความร ้อน ในการเผาไหม้ส่วนใหญ่จะไม่ใช้ออกซิเจนล้วนๆ แต่จะใช้อากาศแทนเนื่องจากอากาศมีออกซิเจนอยู่ 21%โดยปริมาณ หรือ 23%โดยน้ำหนัก

    เชื้อเพลิงชีวมวลประกอบด้วยธาตุต่างๆ ดังนี้ คือคาร์บอน(C) ออกซิเจน(O2) ไฮโดรเจน (H2) และธาตุอื่นๆ ที่สำคัญได้แก่ ไนโตรเจน(N) และซัลเฟอร์(S) เนื่องจากจะทำให้เกิดก๊าซไนโตรเจนออกไซด์(NOX)และซัล เฟอร์ไดออกไซด์(SO2) ซึ่งเป็นก๊าซที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เมื่อเกิดการเผาไหม้ที่อุณหภูมิที่เหมาะสม เมื่อนำเชื้อเพลิงชีวมวลมาเผาไหม้จะมีขั้นตอนการเกิด ปฏิกิริยาดังนี้
    2C + O2 2CO + 110,380 kj/kg-mol
    2CO + O2 2CO2+ 283,180 kj/kg-mol
    2H2 + O2 2H2O+ 286,470 kj/kg-mol
    S + O2 SO2 + ความร้อน
    N + O2 NO2 + ความร้อน
    ระบบการเผาไหม้เชื้อเพลิงแข็ง แบ่งออกได้ดังนี้

    1. ระบบการป้อนเชื้อเพลิงโดยใช้แรงงานคน เป็นระบบที่มีใช้อยู่ดั้งเดิมโดยการใช้คนตักเชื้อเพล ิงป้อนเข้าสู่เตา ประสิทธิภาพของระบบจะขึ้นอยู่กับความชำนาญและความเอา ใจใส่ของแรงงาน

    2. ระบบการป้อนเชื้อเพลิงแบบสโตกเกอร์ (Stoker) เป็นระบบที่ใช้เครื่องจักรป้อนเชื้อเพลิงแทนแรงงานคน โดยมีกลไกที่ไม่ซับซ้อนมากนัก มีราคาถูก และสามารถออกแบบให้ใช้ได้กับเชื้อเพลิงแข็งหลายๆชนิด หลายขนาด แต่มีข้อเสียคือระบบสโตกเกอร์มีขีดความสามารถในการผล ิตไอน้ำต่ำ ระบบสโตกเกอร์แบ่งออกได้ตามลักษณะการป้อนเชื้อเพลิง คือ ระบบสโตกเกอร์ที่มีการป้อนเชื้อเพลิงทางด้านบน (Overfeed Stoker) ซึ่งเป็นแบบตะกรับเลื่อน (Traveling Grate Stoker) และระบบ
    สโตกเกอร์ที่มีการป้อนเชื้อเพลิงทางด้านล่าง (Underfeed Stoker)
    3. ระบบพัลเวอร์ไรซ์ (Pulverized) การเผาไหม้เชื้อเพลิงของระบบพัลเวอร์ไรซ์จะเกิดขึ้นใ นลักษณะเชื้อเพลิงที่ถูกแขวนลอย ดังนั้นขนาดของเชื้อเพลิงที่ถูกป้อนเข้าสู่เตาจะต้อง มีขนาดเล็กสามารถแขวนลอยอยู่ได้ในอากาศ อากาศส่วนแรกที่ถูกป้อนเข้าสู่เตาจะถูกอุ่นก่อนเพื่อ ช่วยในการอบแห้งเชื้อเพลิง อากาศส่วนที่สองจะถูกส่งเข้าสู่เตาโดยตรงเพื่อช่วยทำ ให้เกิดการเผาไหม้ที่สมบูรณ์ ขี้เถ้าที่เกิดขึ้นจะถูกปล่อยออกมากับไอเสีย

    4. ระบบไซโคลน (Cyclone) ระบบนี้ได้พัฒนาขึ้นมาเพื่อแก้ไขข้อบกพร่องของการเผา ไหม้เชื้อเพลิงของระบบพัลเวอร์ไรซ์ เชื้อเพลิงที่ถูกป้อนเข้าสู่เตาอาศัยแรงโน้มถ่วงเช่น เดียวกับระบบพัลเวอร์ไรซ์แต่ไม่จำเป็นต้องบดเชื้อเพล ิงให้มีขนาดเล็ก สามารถลดค่าใช้จ่ายของการบดเชื้อเพลิงลงได้ การเผาไหม้ระบบไซโคลน (Cyclone) จะใช้หัวเผาแบบ Horizontal water-cooled ขนาดเล็กทำให้เตาเผาระบบไซโคลนมีขนาดเล็กกว่าเตาเผาร ะบบพัลเวอร์ไรซ์เมื่อคิดต่อหน่วยปริมาตร อากาศที่เข้าสู่เตาจะอยู่ในแนวสัมผัสกับผนังของห้องเ ผาไหม้ซึ่งจะทำให้เชื้อเพลิงเคลื่อนที่แบบปั่นป่วน(T urbulence) ในห้องเผาไหม้ทำให้การเผาไหม้เป็นไปอย่างทั่วถึงและส มบูรณ์ยิ่งขึ้น อุณหภูมิของการเผาไหม้จะสูงถึง 1650 oC ทำให้ 30-50 เปอร์เซนต์ของเถ้าหลอมเป็นขี้โลหะเหลว (Liquid Slag) ส่วนที่เหลืออีก 70-50 เปอร์เซนต์จะเป็นเถ้าลอยปนมากับก๊าซไอเสีย
    5. ระบบฟลูอิดไดซ์เบด (Fluidized Bed) ระบบฟลูอิดไดซ์เบดนั้นอากาศจะไหลผ่านชั้นของเชื้อเพล ิง เมื่อเพิ่มอัตราความเร็วของอากาศถึงจุดหนึ่งเชื้อเพล ิงจะลอยตัวขึ้นมีลักษณะคล้ายของไหลโดยจะมีสารเฉื่อย (Inert Material) เช่นทราย หรือสารทำปฏิกิริยา (Reaction Material) เช่น หินปูนเป็นเบด เมื่อเริ่มติดเตาเบดจะได้รับความร้อนจากภายนอกจนอุณห ภูมิถึงจุดติดไฟของเชื้อเพลิง เชื้อเพลิงจะถูกป้อนเข้าสู่เตาอย่างสม่ำเสมอ โดยมีเบดช่วยในการถ่ายเทความร้อนและทำความสะอาดภายใน เตา
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย vespa.never.die : 23-08-2010 เมื่อ 11:16

Bookmarks

กฎการส่งข้อความ

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •