
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ
wasant
ขออนุญาตคัดลอกบทความ"แรกมีรถถีบในพัทลุง"
ของ ปรมินทร์ อินทรักษา มาให้อ่านกันครับ
รถถีบ หรือ สองล้อ เป็นชื่อเรียกพาหนะรุ่นแรกที่ใช้แรงคนเป็นพลังงานในก าร
ขับเคลื่อน ได้ถูกนำเข้ามาในประเทศไทย เมื่อ พ.ศ.2422 โดยการนำเข้ามาของ พระยาภาสกรวงศ์
(พร บุนนาค) ซึ่งได้ไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ เมื่อสำเร็จแล้วมารับราชการดำรงตำแหน่งอธิบดี
กรมพระคลังสวน ได้ไปศึกษาดูงานประเทศอังกฤษและยุโรป ขากลับเมื่อ พ.ศ.2422 ได้นำพาหนะ
ชนิดใหม่ไม่มีชื่อภาษาไทยติดเรือกำปั้นมาด้วยหลายคัน เป็นรถถีบที่มีลักษณะล้อหน้าโตกว่าล้อ
หลังที่เรียกว่า เพนนี-ฟาร์ทิง
รถถีบโบราณ เพนนี-ฟาร์ทิง
ในระยะแรกคงได้รับความนิยม แพร่หลายเฉพาะเจ้านายชั้นสูง หลังจากนั้นได้
แพร่หลายไปสู่สาธารณชน จากเมืองหลวงแพร่กระจายออกไปสู่จังหวัดใกล้เคียงและห ัวเมืองสำคัญ
ในส่วนภูมิภาคที่เจ้านายชั้นสูงที่เจ้านายไปว่าราชกา ร ในตำแหน่งสมุหเทศาภิบาล รถถีบ จึงได้
แพร่หลายไปสู่มณฑลต่างๆ รวมทั้งมณฑล นครศรีธรรมราช ซึ่งมีตำหนักเขาน้อยที่จังหวัดสงขลา
เป็นที่ว่าราชการมณฑล โดยมีสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ดำรง
ตำแหน่งสมุหเทศาภิบาลมณฑล ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวเมืองพัทลุงตั้งอยู่ที่ลำปำ
การคมนาคมขนส่งของคนในเมืองพัทลุงที่ลำปำเวลานั้น มีเรือเป็นพาหนะในการขนส่ง
ทางน้ำ และมีช้างเป็นพาหนะขนส่งทางบก ซึ่งจะเห็นได้จากการบันทึกการเสด็จประพาสหัวเมือง
ปักษ์ใต้ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรั ชกาลที่ 5 เสด็จเมืองพัทลุง เมื่อวันที่ 24-26
กรกฎาคม พ.ศ.2432 และสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ ได้มาตรวจราชกาลที่เมือง
พัทลุง เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2446
ชาวเมืองพัทลุงในอดีตจึงนิยมใช้เรือมาดและเรือแจวเป็ นพาหนะในการสัญจรขนส่ง
เนื่องจากลักษณะภูมิศาสตร์เมืองพัทลุงเป็นเมืองที่มี ลำคลองหลายสายที่ไหลจากเทือกเขาบรรทัด
ลงสู่ทะเลสาบลำปำ สายน้ำสำคัญเหล่านั้นได้ถูกขุดแต่งเพิ่มเติมเพื่อเป็ นเส้นทางสัญจรขนส่งสินค้า
และทรัพยากรท้องถิ่นของชาวบ้านจากชุมชนหนึ่งไปสู่ชุม ชนหนึ่ง จากชุมชนลุ่มทะเลสาบติดต่อ
สร้างสายสัมพันธ์กับชุมชนควนและเขาเข้าด้วยกันอาศัยพ ึ่งพาทรัพยากรของท้องถิ่นแลกเปลี่ยนซึ่ง
กันและกัน ด้วยสายน้ำเป็นสำคัญ ดังปรากฏในนิทานพื้นบ้านเรื่อง เกลอเขา เกลอเล
ส่วนรถถีบที่มีรูปแบบเหมือนรถถีบในปัจจุบันเป็นผลงาน ของนักอุตสาหกรรมรถถีบที่
ยิ่งใหญ่ของอังกฤษ คือ mr.thomas hamber เป็นผู้คิดออกแบบเมื่อ พ.ศ.2429 รถถีบของ
แฮมเบอร์จึงเป็นต้นแบบรถถีบมาตรฐานมาจนถึงทุกวันนี้
การพัฒนารถถีบต้นแบบตั้งแต่ พ.ศ.2361 เป็นต้นมาจนได้รูปแบบมาตรฐานใช้โลหะกลวง
น้ำหนักเบาตะเกียบฝักดาบทหารม้า ตามต้นแบบของแฮมเบอร์ใช้เวลาพัฒนารูปแบบมานานถึง
พ.ศ.2429 ซึ่งตรงกับรัชสมัยรัชกาลที่ 5 ของประเทศไทย
รถถีบมาภาคใต้
การแพร่กระจายของรถถีบจากส่วนกลางสู่ภูมิภาคต่างๆ โดยเฉพาะภาคใต้สันนิษฐานได้ว่า
จะน่าจะมี 2 กระแส ด้วยกันคือ
กระแสแรก สันนิษฐานว่าได้ถูกนำมาโดยสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวง
ลพบุรีราเมศวร์ พระองค์ทรงดำรงตำแหน่งสมุหเทศาภิบาลมณฑลนครศรีธรรมรา ช ทรงประทับ
ตำหนักเขาน้อยจังหวัดสงขลา นานถึง 15 ปี ตั้งแต่ พ.ศ.2453-2468 หรือขุนนางชั้นสูงที่มาปฏิบัติ
ราชการมณฑลที่ตำหนักเขาน้อย เพื่อนำมาใช้งานจับจ่ายใช้สอยในตัวเมืองสงขลาย่านถนน นคร
นอก นครใน ซึ่งเป็นย่านการค้าริมทะเลของชาวจีนในจังหวัดสงขลาใน ช่วงเวลานั้น
กระแสรอง ในช่วงเวลานั้นประเทศมาเลเซียตกเป็นเมืองขึ้นหรือประ เทศอาณานิคมของ
อังกฤษซึ่งเป็นประเทศอุตสาหกรรมหนักที่เร่งผลิตรถถีบ ซึ่งเป็นยานตรกรรมใหม่ของโลก รถถีบ
หลากหลายตราจากหลายโรงงานในเมืองโคเวนทรี นอตติ้งแฮม เบอร์กิ้งแฮม ถูกระบายมาขายใน
ประเทศอาณานิคม จังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งมีพื้นที่ติดต่อกับประเทศมาเ ลเซียมาเผยแพร่ใน
จังหวัดชายแดนเหล่านั้นและแพร่หลายเข้ามาในจังหวัดสง ขลาและจังหวัดใกล้เคียงอีกทอดหนึ่ง
จังหวัดพัทลุงซึ่งเป็นจังหวัดที่ใกล้เคียงกับจังหวัด สงขลา ในช่วงระยะเวลาดังกล่าว เมือง
พัทลุงตั้งอยู่ที่ลำปำ ถนนหนทางในการสัญจรได้รับการดำริจัดสร้างถนนสายสำคัญ ขึ้นโดยสมเด็จ
เจ้าฟ้ากรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ เพื่อติดต่อกับจังหวัดตรังแล้วเสร็จ จึงได้ตั้งชื่อถนนตามพระนามว่า
ถนนราเมศวร์ จนถึง พ.ศ.2461 ทางรถไฟสายใต้ได้ผ่านมาถึงจังหวัดพัทลุงไป สงขลาบริเวณที่
ทางรถไฟสายใต้ตัดกับถนนราเมศวร์ จึงได้รับการเรียกขานจากชาวบ้านด้วยภาษาถิ่นว่า เสกั๊ก จึง
ได้เกิดชุมชนขึ้นในบริเวณนั้น
ล่วงมาถึง พ.ศ.2467 จึงได้ย้ายเมืองพัทลุงที่ลำปำมาตั้งในบริเวณชุมชนใหม ่ เสกั๊ก ที่มี
เส้นทางคมนาคมสะดวกขึ้น ณ บ้านคูหาสวรรค์ มีการจัดตั้งหน่วยงานราชการต่างๆ มากมายตม
รูปแบบการปกครองใหม่จึงเกิดขึ้นโดยการจัดทำถนนหนทางส ายต่างๆเพิ่มมากขึ้นย่านชุมชนใน
เมือง บ
โดย: [0 3] ( ip )
--------------------------------------------------------------------------------
ความคิดเห็นที่ 1
ริเวณเสกั๊กจึงเกิดการค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าจากชนบท มาสู่เมืองยานพาหนะสำหรับการ
ขนส่งสินค้ายังคงเป็นเรือและเกวียน ส่วนภายในตัวเมืองและชานเอรอบนอก การสัญจรไปมานิยม
การเดินเท้าและการแบกหามสินค้า
รถถีบมาเมืองลุง
เมื่อเกิดย่านกลาง ตลาดจึงเกิดขึ้น กว้าน ร้านค้ามีปริมาณเริ่มขึ้นจากร้านที่ขายของชำและ
สินค้าพื้นเมืองที่เป็นความจำเป็นในการครองชีพ และต่อมาเกิดร้านค้าที่ขายสินค้าเฉพาะอย่างมาก
ขึ้น สินค้า มากขึ้น เมืองโตขึ้น ตลาดก็โตขึ้น ความจำเป็นสินค้าหลากหลาย นอกจากเส้นใย
เครื่องปั้นดินเผา เกลือ น้ำตาล น้ำมัน เครอื่ งสังฆภัณฑ์ ฯลฯ พ่อค้าจากต่างถิ่นเริ่มย้ายถิ่นมาตั้งร้าน
บริเวณสองฟากถนนราเมศวร์มากขึ้น เช่น จากสงขลา ปากพะยูน บางแก้ว และสิงคโปร์
รถถีบ เป็นสินค้าใหม่อีกตัวหนึ่งเป็นที่ต้องการของชาวเมือง เมื่อร้านค้าย่านถนนราเมศวร์
ร้านหนึ่งตั้งอยู่บริเวณทิศตะวันออกของร้านเพชร ใกล้กับธนาคารกรุงไทยในปัจจุบัน ซึ่งมี
นายกิมถ่าย แซ่เก๊า เป็นคนจีนอพยพมาจากสิงคโปร์ได้ตั้งร้าน เหยียบเซ่งหิ้น เปิดขาย-ซ่อมรถถีบ
ขึ้น เมื่อพ.ศ.2475
รถถีบจากอังกฤษหลากหลายตราได้ทยอยผ่านห้างตัวแทนในกร ุงเทพฯ เช่น ห้างเซ้งง่วนฮง
(สิทธิผล) ห้างเทพนครพาณิชย์ ฯลฯ มาพัทลุงโดยรถไฟ ขบวนแล้วขบวนเล่า บรรทุกรถถีบจำนวน
มากมาสู่มือลูกค้าทั้งที่เป็นข้าราชการและชาวบ้านจาก คำบอกเล่าของคุณน้าเคี่ยน โกศลวัตร นายช่าง
ซ่อมรถถีบร้านเหยียบเซ่งหิ้นผู้คลุกคลีอยู่ในวงการรถ ถีบมาตั้งแต่พ.ศ.2490 จนถึงปัจจุบันได้
ถ่ายทอดความทรงจำในอดีต ให้ฟังว่ารถถีบที่เป็นที่ต้องการและได้รับการยอมรับจ ากลูกค้า
มากที่สุด ส่วนใหญ่เป็นรถถีบที่มาจากอังกฤษอย่างตราราเล่ห์ (หัวนกกระสา) รัดส์(ตรามือ) แฮม
เบอร์(ตรามงกุฎ) โรบินฮูด ฟิลลิปส์ เฮอร์คิวลิส ฯลฯ รถถีบจากอังกฤษตราเหล่านี้เป็นที่ต้องการ
เนื่องจากลูกค้าเชื่อมั่นในคุณภาพของเหล็กที่เป็นสูต รเฉพาะ มีความคงทน แข็งแรง น้ำหนักเบา ไม่
ขึ้นสนิม แม้ราคาในขณะนั้นคันละประมาณ 1200-1500 บาท ในขณะที่ราคาทองคำบาทละ 400
บาท คุณแม่เขียนผู้เขียนได้เล่าให้ฟังว่ารถถีบคันแรกที่ซ ื้อ ตรามือ(รัดส์) เมื่อ พ.ศ.2495 ราคาคันละ
1200 บาท ในขณะนั้นรับเงินเดือน อัตราครูมูลเดือนละ 40 บาท รถถีบคันนั้นปัจจุบันสภาพใช้งาน
ยังดีจนถึงวันนี้
รถถีบมีลักษณะแตกต่างกัน
รถถีบหลายตราที่ได้รับความนิยมจากชาวพัทลุงในช่วงเวล านั้นจะมีอยู่ 2 ลักษณะ คือ
จักรยานผู้ขาย ซึ่งลักษณะมีคานบนขนานกับพื้นมีความสูงตามขนานวงล้อ คือ ขนาด 28 นิ้ว และ 26
นิ้ว ใช้เบรกก้ามปูที่ล้อทั้งสอง ไม่มีสปีดเกียร์ ไม่นิยมใส่หุ้มโซ่ ผู้ใช้ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชายซึ่งใช้เป็น
พาหนะสัญจรและบรรทุกสินค้า โดยใส่พ่วงตะแกรงท้ายขนาดใหญ่ รถถีบบรรทุกข้าวสารได้ครั้ง
ละกระสอบป่าน บางคนใช้รับซื้อ หมู เป็ด ไก่ และรับจ้างวัสดุก่อสร้าง เช่น บรรทุกข้าวสารได้วัน
ละกระสอบป่าน บางคนใช้รับซื้อ หมู เป็ด ไก่ และรับจ้างบรรทุกวัสดุก่อสร้าง เช่น บรรทุกทราย
ครั้งละปี๊บ ปูนซีเมนต์ 2 กระสอบ บางคนรับจ้างบรรทุกสินค้าของชาวบ้านมาส่งขายที่ตลาดเ สกั๊ก
เช่น จากบ้านนา แม่ขรี ควนขนุน ลำปำ ต้นโดน ฯลฯ ขากลับบรรทุก เกลือ น้ำตาลโตนด
เครื่องปั้นดินเผา ฯลฯ รถถีบบรรทุกเหล่านี้มีความแข็งแรงทนทานมาก เช่น ตราเฮอร์คิวลิส
ไทรอัมพ์ จะเป็นที่นิยมมากที่สุด
ส่วนรถถีบขายขนาด 28 นิ้ว และ 26 นิ้ว ผู้ซื้อใช้สัญจรไปกลับที่ทำงาน เช่น ข้าราชการ ครู
จะนิยม ซื้อราเลห์ หรือ รัดส์ มีสปีดเกียร์ของสเตอร์เมย์อาร์เชอร์ใช้ฮับเบรค(hub brake) จะไม่นิยม
ใส่ตระแกรงท้าย เป็นรถถีบที่ใช้ขี่อวดสาวๆ หรือชวนแฟนสาวไปเที่ยว
รถถีบชายขนาด 28 นิ้ว และ 26 นิ้ว ราคาเมื่อ 50 ปี ที่แล้วคันละ 1500 บาท มีสปีดเกียร์จะ
แพงกว่า 100 บาท
รถถีบอีกลักษณะหนึ่งเป็นรถผู้หญิง ไม่มีคานนอน มีแต่คานคู่เฉียง ขนาดล้อ 26 นิ้ว เหมาะ
กับสรีระของผู้หญิง มีหุ้มโซ่ มีสปีดเกียร์ใช้ฮับเบรคทั้งสองล้อ แฮนด์ปีกนก มีตระแกรงท้ายขนาด
เล็ก มีตราราเลห์ รัดส์ โรบินฮูด บีเอสเอ เป็นที่นิยมแพร่หลายมาก
รถสามล้อพัทลุง
จากรถถีบชายที่ใช้ตระแกรงท้ายขาดใหญ่สำหรับบรรทุกสิ่ งของต่างๆแล้วแต่ความต้องการ
ที่จะดัดแปลงรถถีบเพื่อใช้เป็นรถบรรทุกทั้งผู้โดยสาร และสัมภาระต่างๆได้มากขึ้น จึงไดมีผู้คิด
ประดิษฐ์รถพ่วงข้างโดยนำรถชายมาต่อพ่วงด้านข้างเพิ่ม ล้อขึ้น กลายเป็นรถสามล้อ โดยนาย
เลื่อน พงค์โสภณ เป็นผู้ประดิษฐ์คนแรก เมื่อ พ.ศ.2474 หลังจากประดิษฐ์ได้ หกเดือน รถสามล้อ
ได้รับความนิยมสูงมากแพร่กระจายไปทั่วทั้งประเทศ
สามล้อรับจ้างพัทลุงเป็นรถที่นำเอารถสองล้อชายขนาด 28 นิ้ว มาพ่วงด้านข้างซ้ายมืออีก
1 ล้อ
คุณน้า เคี่ยน โกศลวัตร ได้เล่าให้ฟังเพิ่มเติมว่า หลังจากปี พ.ศ.2475 เล็กน้อย นายกิมถ่าย
แซ่เก๋า เจ้าของร้านเซ่งหิ้น ได้เอาแบบรถสามล้อจากสงขล
โดย: [0 3] ( ip )
--------------------------------------------------------------------------------
ความคิดเห็นที่ 2
ามาประดิษฐ์จำหน่าย โดยการไปซื้อเหล็ก
ท่อกลวงซึ่งเป็นเหล็กไฟนำเข้าจากอังกฤษมีความแข็งแรง บาง เนื้อเหนียว และข้อต่อเกลียวจาก
สงขลาแล้วมาทำตะแกรงพื้นด้วยไม้ปูทับบนโครงเหล็ก นำเก้าอี้หวายซึ่งซื้อมาจากหาดใหญ่ราคาตัว
ละ 2500 บาท รถเฮอร์คิวลิส ราคา 1800 บาท ถ้าเพิ่มสปีดเกียร์จะแพงกว่าอีก 100 บาท
รถสามล้อพัทลุงจึงมีลักษณะเหมือนกับรถสามล้อของสงขลา ในระยะแรกทางร้านจะ
ประกอบขายเองต่อมาความต้องการมากขึ้นจึงได้สั่งรถสาม ล้อที่ต่อเสร็จแล้วจากสงขลามาขายผู้ถีบ
สามล้อบางคนก็ไปซื้อมาจากสงขลาโดยตรงก็มี ความต้องการของตลาดสามล้อ สูงมาก เกิดร้านขาย
สามล้อเพิ่มขึ้นและมีผู้ประกอบสามล้อขายมากขึ้น เช่น ร้านกวงเชียง(ร้านเชียวกวงเชียงปัจจุบัน)มี
ช่าง เปลื้อน บ้านนางลาด ช่าง ยืน บ้านดอนยอ ประกอบโครงสามล้อรับจ้าง สามล้อได้กลายเป็น
พาหนะรับจ้างยอดนิยมของคนเมืองลุงมาก ไม่ว่าจะไปจ่ายตลาด ไปดูหนัง เที่ยวงานสงกรานต์ ไป
สถานีรถไฟ รับส่งประจำเด็กนักเรียนอนุบาล ฯลฯ
คนถีบสามล้อ
ขบวนรถถีบโบราณที่ออกตัวจากโรงเรียนสตรีพัทลุง (เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2543)
ผู้ถีบสามล้อรับจ้างรุ่นแรกเล่าว่า เมื่อปีพ.ศ.2490 ได้ไปเช่ารถสามล้อจากร้านเหยียบ
เซ่งหิ้นราคาเช่าถ้าเป็นรถใหม่ ราเล่ห์ ครั้งละ 8-10 บาท ต่อวัน รถเก่าคันละ 5 บาท เก็บค่าโดยสาร
ภายในตัวเมืองคนละ 50 สตางค์ไกลออกไปถึง ท่าแค ส้มตรีด ปรางหมู่ ลำปำ ราคา 1 บาท รายได้
ตกประมาณวันละ 30-50 บาท แล้วแต่ความขยันของผู้ถีบ บางคนที่เช่ารถมาถีบสามารถผ่อนส่งจน
ซื้อเป็นของตนเองได้ สามรถเก็บเงินสร้างบ้านซื้อที่นาได้
จำนวนรถสามล้อในตัวเมืองพัทลุงเพิ่มจำนวนขึ้นตามลำดั บ พร้อมกับการขยายตัวเมือง
ออกไปมีถนนหนทางเพิ่มมากขึ้น ในปี พ.ศ.2490 มีรถสามล้อให้เช่าประมาณ 40 คัน เพิ่มมาก
ขึ้นเป็นจำนวน 300 คัน ในปีพ.ศ.2520 และในปีพ.ศ.2530 มีสามล้อมากขึ้น ประมาณ 800 คัน โดย
สามล้อทุกคันจะต้องไปเสียภาษีจดทะเบียนที่สถานีตำรวจ ภูธรพัทลุง ขึ้นทะเบียนรถรับจ้าง ป้าย
เหลือง คันละ 12 บาท ต่อทะเบียนปีละ 5 บาท ผู้ถีบจะต้องมีใบอนุญาตขับขี่ ใบขับขี่ตลอดชีพ
5 บาท ชั่วคราวรายปี ปีละ 3 บาท พบป้านทะเบียนรถสามล้อหมายเลข พท 00795 ต่อทะเบียนครั้ง
สุดท้ายปี พ.ศ.2516 ป้ายพ.ศ. จะเป็นแผ่นทองเหลือง ขนาดประมาณ 2 นิ้ว ติดไว้ที่ตะแกรงท้าย
สามล้อ ปัจจุบันได้ยกเลิกไปแล้ว
ใบอนุญาตขับขี่รถจักรยาน
อนาคตของสามล้อพัทลุง
รถสามล้อได้รับความนิยมในช่วงเวลาหนึ่ง จนถึงปี พ.ศ.2510 เริ่มมีรถมอเตอร์ไซด์รับจ้าง
เข้ามาให้บริการรับจ้างประจำทาง สายแรก ลำปำ มีคิวประจำอยู่ที่ใต้ต้นฉำฉาท่าเรือข้างสถานีรถไฟ
ต่อมาเพิ่มขึ้นหลายสายเช่น เขาแดง ตำนาน บ้านสวน ควนกุฎ รถมอเตอร์ไซด์รับจ้างจะไม่วิ่งสาย
สั้นในตัวเมือง จึงไม่ไปแย่งผู้โดยสารสามล้อ ต่อมาในระยะหลังวินมอเตอร์ไซด์มีมากขึ้น
โดยเฉพาะในปี พ.ศ.2536 เกิดมีมอเตอร์ไซด์รับจ้างเสื้อกั๊กมีมอเตอร์ไซด์รับจ ้างทั่วไปเข้ามาแย่ง
ผู้โดยสารระยะใกล้ของสามล้อทำให้รถสามล้อหมดความจำเป ็นลง ไม่ได้รับความนิยม เช่นเดิม
จำนวนรถสามล้อจึงลดลงเรื่อยๆและในปี พ.ศ.2525 ได้มีรถตุ๊กตุ๊ก เข้ามาวิ่งบริการในตัวเมืองพัทลุง
ระยะหนึ่ง แต่ไม่เป็นที่นิยมของผู้โดยสาร รถตุ๊กตุ๊กจึงหมดไป รถสี่ล้อเล็กสองแถวจึงเข้ามาแทนที่
วิ่งรอบเมือง และประจำทางรถสามล้อ จึงไม่เป็นที่ต้องการของผู้โดยสารทั่วไปอีกแล้ว
ปัจจุบันรถสามล้อได้ปรับเปลี่ยนบทบาทไปเพื่อความอยู่ รอด จากการรับส่งผู้โดยสารทั่วไป
กลายมาเป็นรถผูกประจำของแม่ค้า สำหรับขนสัมภาระและสินค้าต่างๆ ส่วนหนึ่งเจ้าของแม่ค้า
สำหรับขนสัมภาระและสินค้าต่างๆ ส่วนหนึ่งเจ้าของผู้ขับขี่มีอายุมากขึ้น ไม่มีเรี่ยวแรงเหมือนสมัย
ยังหนุ่ม ลูกหลานได้ขอให้หยุดพักผ่อนบ้าง และอีกส่วนหนึ่งรถสามล้อถูกคนต่างถิ่นจากอยุธยา
มหาสารคาม กรุงเทพฯ มากวาดซื้อในราคาถูก ประมาณคันละ 1000-1500 บาทเท่านั้น ทำให้
รถสามล้อในพัทลุงเหลือน้อยลงอย่างน่าเป็นห่วงซึ่งเป็ นยานพาหนะที่ผู้คนรุ่นหนึ่งได้ใช้ชีวิตผูกพัน
กันมาตั้งแต่ชั้นอนุบาลที่เคยนั่งสามล้อผูก(รับส่งปร ะจำ) มาด้วยกัน ภาพความสัมพันธ์กับเพื่อนผู้
ร่วมรถยังเป็นที่ประทับใจของผู้เขียนมาถึงทุกวันนี้ เพราะทุกคนจะต้องนั่งเบียดกันบนเก้าอี้หวาย
สามล้อถึง 4-5 คน อีกส่วนหนึ่งจะต้องลงไปนั่งที่ท้ายรถด้านหลังและที่พ ื้นวางเท้าข้างหน้ารวม
สมาชิกรถผูก 8-9 คน
วันนี้ ภาพของรถสามล้อที่วิ่งรับส่งผู้โดยสาร ด้วยแรงขาทั้งสองของชายวัยกลางคนค่อยๆ
หายไปจากสายตาของคนพัทลุงทีละคัน คันแล้วคันเล่า คงมีเวลาเหลืออีกไม่มากแล้วที่จะได้พูดคุย
กับคนถีบสามล้อที่ได้เล่าวิถีชีวิตของคนพัทลุงในอดีต สภาพบ้านเมือง ถนนหนทาง เหตุการณ์
บ้านเมือง ขนบธรรมเนียมประเพณี ฯลฯ เมื่อถึงวันนั้นคงเป็นวันที่ผู้เฒ่าได้ลงมาจากอานรถส ามล้อ
นั่งรอลูกหลานที่บ้
โดย: [0 3] ( ip )
--------------------------------------------------------------------------------
ความคิดเห็นที่ 3
านรับภาระดูแลแทนรถสามล้อ ที่เป็นทั้งค่าน้ำชากาแฟ อาหารเช้า อาหารเที่ยง
และน้ำกระษัยในยามเย็น ก่อนจับแฮนด์สามล้อนำร่างที่สุขใจอิ่มกาย หลังจากที่ได้นำสามล้อมาทำ
หน้าที่ของมัน บริการผู้โดยสารขาประจำที่มีความรักความผูกพันฉันญาต ิมิตร
ความสง่างามของสามเหลี่ยมที่ประกอบกันระหว่างคนกับเห ล็ก
รถถีบ หรือ สามล้อ ยานพาหนะขับเคลื่อนด้วยพลังมนุษย์เป็นยานตรกรรมที่นำ ผู้ถีบ
ฟันเฟืองของสายโซ่ ให้ทะยานไปข้างหน้าด้วยท่วงท่าลีลาการโน้มตัวลงจับแฮ นด์อย่างสง่างามของ
แขนทั้งสองที่เหยียดตรงเป็นองค์ประกอบของเส้นตรงที่ส อดรับกับตะเกียบล้อหน้าและล้อหลัง ทำ
หน้าที่เป็นเส้นประกอบของมุมยอดของรูปทรงสามเหลี่ยมท ี่มีวงกลม 2 วงประกอบมุมที่ฐานทั้ง
สองหมุนรอบตัวเองสะท้อนแสงจากก้านล้อเป็นรัศมีกระจาย ออกจากแกนล้อ นำพารูปสามเหลี่ยม
เคลื่อนที่ไปข้างหน้าพร้อมกับเสียง ติ๊กตั๊ก ติ๊กตั๊ก ของสปีดเกียร์ อย่างมีจังหวะทำนองอย่างสม่ำเสมอ
ช้าบ้าง เร็วบ้าง สะดุดตาของผู้พบเห็นยิ่งนัก
ความสง่างามของรูปทรงสามเหลี่ยม ที่ประกอบกันระหว่างผู้ถีบกับรถเป็นรูปสามเหลี่ยมที่
เคลื่อนที่ได้ได้หวนกลับมาอีกครั้งด้วยความเสน่ห์หา ของคนรุ่นใหม่ที่หลงใหลกับเหล็กอังกฤษ ที่
ถูกซื้อขาย เป็นเศษเหล็กราคากิโลละไม่กี่บาท ได้รับการขัดถูซ่อมแซมให้ความสง่างามกลับคืนมา
วิ่งโฉบเฉี่ยวบนถนนอีกครั้ง
ผู้เขียนไดพ้ ยายามทุ่มเทหาองค์ความรู้จากกองเศษเหล็กหลายแห่งไดพ้ บปะกับผู้คนหลาย
คนที่ถีบสามล้อ เสาะหาความรู้จากช่างซ่อมจักรยานทั้งรุ่นเก่ารุ่นใหม ่และช่างสมัครเล่น เดินทางมา
พูดคุยกับพ่อค้ารถถีบทั้งที่เมืองสงขลา หาดใหญ่ นครศรีธรรมราชและพัทลุงค้นหาหนังสือวารสาร
เอกสารทั้งของไทยและต่างประเทศลงมือปฏิบัติการซ่อมรถ หญิง-ชาย จนสามารถใช้งาน ได้หลาย
คัน และได้สัมผัสกับผู้คนหลายคน หลากหลายอาชีพ ที่หลงใหลกับเหล็กรูปทรงสามเหลี่ยมของ
อังกฤษ ตั้งใจทำงานชิ้นนี้เพื่อรวบรวมรถถีบโบราณที่ถูกซุกซ่ อนอยู่หลังบ้าน ใต้ถุนบ้าน ในลอม
ข้าวและที่ถูกทิ้งขว้าง ได้นำกลับมาอวดความสง่างามอีกครั้ง จนเกิดงาน นิทรรศการรถถีบโบราณ
พัทลุง ครั้งที่ 1 ขึ้นที่โรงเรียนสตรีพัทลุง เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2543 และได้อวดโฉมของมันอีก
ครั้งบนถนนต่อหน้าผู้คนเมืองลุงเรือนหมื่นในขบวนพาเห รดของโรงเรียนสตรีพัทลุง งานกรีฑา
พัทลุง เมื่อเช้าวันที่ 5 สิงหาคม 2543 ท่ามกลางความสนใจและถามหาความสง่างามของรถถีบ
โบราณกันมากขึ้น
นิทรรศการรถถีบโบราณพัทลุง ครั้งที่ 1 ขึ้นที่โรงเรียนสตรีพัทลุง เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2543
นิทรรศการรถถีบโบราณและกลุ่มผู้รักรถถีบโบราณ
นับจากนี้ไป รถถีบโบราณและรถสามล้อเป็นทางเลือกอีกสายหนึ่งที่อาจ จะกลับมาวิ่ง
พลุกพล่านอยู่บนถนนเมืองลุง ในสถานการณ์ที่ราคาน้ำมันสูงขึ้น และกระแสอนุรักษ์ได้รับการ
ขานรับจากคนรุ่นใหม่ที่รักสุขภาพตัวเอง
Bookmarks