ประวัติรถจักรยาน /จักรยานยนต์ /และรถยนต์
                                
กำลังแสดงผล 1 ถึง 13 จากทั้งหมด 13

ชื่อกระทู้: ประวัติรถจักรยาน /จักรยานยนต์ /และรถยนต์

  1. #1
    Senior Member danwin999's Avatar
    วันที่สมัคร
    May 2008
    สถานที่
    ศรีตรัง Classic Club
    ข้อความ
    664
    ขอบคุณ
    0
    ได้รับขอบคุณ 0 ครั้ง ใน 0 ข้อความ
    ผลการให้คะแนน
    16

    Smile ประวัติรถจักรยาน /จักรยานยนต์ /และรถยนต์



    ประวัติ HONDA

    ตำนานฮอนด้า
    ชีวประวัติบุคคลยานยนต์โลก : โซอิชิโร ฮอนด้า
    < Biography of HONDA founder : Soichiro Honda >
    บุคคลซึ่งเป็น ตำนานฮอนด้า และสร้าง ประวัติฮอนด้า ให้ทั่วโลกได้รู้จักจนถึงทุกวันนี้












    จักรยานติดเครื่องยนต์ " บาตะ บาตะ ( putt putt ) "
    นวัตกรรมที่ มิสเตอร์ โซอิชิโร ฮอนด้า ประดิษฐ์ขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1946 หรือ พ.ศ.2489
    ปัจจุบันตั้งอยู่ที่ ฮอนด้าคอลเลคชั่น ฮอลล์ ( Honda Collection Hall ) ประเทศญี่ปุ่น
    เพื่อระลึกถึงความภาคภูมิใจและจุดเริ่มของพลังแห่งคว ามฝันที่เป็นจริงของฮอนด้า
    HONDA The Power of Dreams

    ขอขอบคุณที่มา : หนังสือ ฮอนด้า โซอิจิโร ชายผู้สร้างความฝันให้เป็นความจริง
    หนังสือ ชีวประวัติบุคคลยานยนต์โลก โซอิชิโร ฮอนด้า







    ในปัจจุบันมีบริษัทผู้ผลิตรถจักรยานยนต์มากมาย ซึ่งในบริษัทผู้ผลิตรถที่มีชื่อเสียงเหล่านั้น คงไม่มีใครที่ไม่รู้จักผลิตภัณฑ์ภายใต้ชื่อ ฮอนด้า แน่นอน ฮอนด้าเปิดสายการผลิตรถจักรยานยนต์ มาตั้งแต่อดีต มีการผลิตรถจักรยานยนต์ออกมามากมายหลายรุ่น ด้วย เทคโนโลยีที่เก้าทันกระแสการ เปลี่ยนแปลงของโลกตลอดเวลา แต่มีรถจักรยานยนต์ โมเดลหนึ่งซึ่งทุกคนอาจมองข้ามไปนั้น คือการผลิตของรถโมเดล Super CUP นั่นเอง สายการผลิตของรถจักรยานยนต์ในโมเดลนี้ มีจำนวนทั้งสิ้นมากกว่า 35 ล้าน คัน แล้วในปัจจุบันในช่วงปี 1959 – 1962 มีเปิดตัวสายการผลิต ครั้งแรกในรุ่น Honda c100 อย่างเป็นทางการ ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ปี2002 บริษัท Honda Moter โมเดล Super CUP co.,Ltd มีการเช็คจำนวนผลิตภัณฑ์ ทั้งหมดสำหรับ อีกครั้ง พบว่าในช่วงเวลา 44 ปีที่ผ่านมา สายการผลิต ของรถโมเดลนี้มีจำนวนมากถึง 35 ล้านคันแล้วนับจากสาม เดือนแรกที่มีการ จัดจำหน่ายสู่ท้องตลาดอย่างเป็นทางการในปี 1958 สายการผลิตในช่วงแรกของ Super CUP นั้นมีการออก แบบ และพัฒนาขึ้นโดยตรงจากฝีมือของนาย Soichiro Honda ผู้บริหารระดับสูงหรือเจ้าของบริษัทฮอนด้านั่นเอง โดยได้แนว ความคิด ในการออกแบบรถจักรยานยนต์สายพันธ์ใหม่นี้มาจากการควา มเอนกประสงค์ ของรถสกุตเตอร์ที่ทุกคน ในสมัยนั้นต่าง ก็ยอมรับในความสามารถรอบตัวของมัน เครื่องยนต์ของรถสกุตเตอร์ในสมัยนั้นแทบทั้งหมดจะเป็ น เครื่องยนต์แบบสองจังหวะ แต่สำหรับฮอนด้าโมเดล the Super CUP แล้วมีการปรับปรุงรูปแบบใหม่ด้วยการใช้เครื่องยนต์แบ บสี่จังหวะสมรรถภาพสูง 50ซีซี เข้ามาติดตั้งแทน ซึ่งเครื่องยนต์แบบนี้โดดเด่นมากกว่าของกำลังที่ ได้ความประหยัดเชื้อเพลิงที่สูงกว่า อีกทั้งยัง มีความทนทาน กว่าเครื่องยนต์สี่จังหวะ อย่างเห็นได้ชัด ในด้านของรูปลักษณ์ภายนอกมีการออกแบบให้ตัวรถ อยู่ในระดับต่ำเช่นเดียวกับ รถสกุต เตอร์แต่มีการออกแบบโครงสร้างตัวถังเป็นแบบ backbone frame แทน เพื่อให้ง่ายต่อการติดตั้งและ การถอดออกของ บังลม ด้านหน้า ซึ่งออกแบบมาเพื่อป้องกันโคลนสิ่งสกปรก และลม มาประทะขาของผู้ขับขี่ ที่สำคัญโครงสร้างตัวถังแบบนี้ยังเป็น วัตกรรม ใหม่ล่าสูดในสมัยนั้นอีกด้วย






    รถ Honda Classic
    สายการผลิตของ the Super CUP มีการปรับปรุงและพัฒนาสายการผลิตอย่างต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีในด้านของการขับขี่ ทั้งในด้านของสมรรถนะ เครี่องยนต์และความประหยัดเชื้อเพลิง แต่สิ่งหนึ่งซึ่งไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็น ได้ชัดนั้นคือ รูป ลักษณ์ภายนอก ซึ่งยังคงรูปแบบเดิมอยู่จนกระทั่งปัจจุบัน ในด้านของการตลาด the Super CUP กลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือก สำหรับ ตลาดรถเอนกประสงค์หรือรถสกุตเตอร์ในเวลาอันรวดเร็ว จนคำว่า CUP เกือบจะเป็นคำที่มีความหมายว่ารถ สกุตเตอร์ใช้ งานไปแล้วในตลาดรถสกุตเตอร์


    รถยอดนิยม ที่ปัจจุบันมีการสะสมมาก

    the Super CUP มีการส่งออกไปจำหน่ายที่สหรัฐอเมริกา เป็นครั้งแรกในปี1959 และไม่นานนักก็มีการส่งออกไปจำหน่ายใน 160 ประเทศ ทั่วโลกในเวลาต่อมา มีการเปิดสายการผลิตใน ประเทศต่างๆเพิ่มขึ้นมากมายกว่า 14 ประเทศเพื่อต้องการขยาย ตลาดไปยังประเทศในแถบ south-East Asia ทั้งหมด the Super CUP กลายเป็นรถที่มีความเอนกประสงค์มากที่สุด และ เป็นที่ รู้จักของของคนทั่วโลก นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันสำหรับสายการผลิตแรกของร ถจักรยาน ยนต์ ในตระกูล Super CUP
    คือ โมเดล Honda c100 Super CUP 50 มีสายการผลิตอยู่ในช่วง 1959-1962 มีการผลิตเฉดสีออกจำหน่ายสู่ท้องตลาด ทั้งสิ้น 4 สีด้วยกัน คือ สีทรูโทนแดงสดตัดขาว, สีขาวล้วน, สีทูโทนน้ำเงินตัดขาวและสีทูโทนดำตัดขาว ที่ด้านหน้าของตัวรถและที่ฐานเบาะ จะมีโลโก้อักษรภาษาอังกฤษว่า “CUB”และ” Super CUP” เป็นสัญลักษณ์สำหรับรถรุ่นนี้ ที่ไฟท้ายจะมีลักษณะเป็นทับทิมสีแดง เครื่องยนต์มีขนาดความจุ 49 cc สูบเดียน 4 จังหวะ OHV ใช้ระบบขับเครื่อง โดยชุดเกียร์แบบสามสปีด และระบบครัทช์แบบ ออโตเมติก สำหรับระบบสตาร์ท ในรุ่นนี้มีการผลิตออกมาเฉพาะ ระบบสตาร์ทโดยเท้าเท่านั้น

    รถ HONDA C70 ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก
    สำหรับรถที่มีการผลิตออกมาในช่วงแรก ๆ นั้นจะสังเกตได้จากเบาะที่มีขนาดมากกว่า จักรยานยนต์ในสายการผลิตถัดมา คือ Honda CA100 มันคือรถโมเดลใหม่ที่มาแทนที่ใน รุ่น C100 มีสายการผลิตในช่วงปี 1962-1970 มีการผลิตเฉดสีออกจำหน่าย สู่ท้องตลาดทั้งสิ้นสี่สีด้วยกัน เช่นเดียวกับโมเดล C100 นั้นคือ สีทูโทนแดงสดตัดสีขาว ,สีขาวล้วน,สีทูโทนน้ำเงินตัดขาว และ สีทูโทน ดำตัดขาว เครื่องยนต์ยังคงเป็นแบบสี่จังหวะ ขนาดความจุ 49 cc สูบเดียว OHV ใช้ระบบขับเคลื่อนโดยชุดเกียร์แบบ สามสปีด และระบบ ครัทซ์แบบออโตเมติก เช่นเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลง และสำหรับระบบสตาร์ทในรุ่นนี้มีการผลิตออกมา เฉพาะ ระบบสตาร์ทด้วยเช่นกัน ที่ด้านหน้าของตัวรถและที่ฐานเบาะจะมี โลโก้อักษรภาษาอังกฤษว่า “Honda 50” เป็นสัญลักษณ์สำหรับ รถรุ่นนี้ ไฟท้ายมีการออกแบบ ให้มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าโมเดลก่อนอย่างเห็นได้ชัด สายการผลิตของจักรยานยนต์ Super CUP 50 cc ไม่ได้มีการผลิตและจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่นเพียงอย่าง เดียวเท่านั้น และยังมีการส่งไปจำหน่ายอีกหลายประเทศทั่วโลก.


    กำเนิดลิงน้อย ฮอนด้า มังกี้ Honda Monkey
    เรื่องราวของลิงน้อย เริ่มต้นในปี ค.ศ. 1961 ( พ.ศ. 2504 ) ในโรงงานผลิตมอเตอร์ไซด์ฮอนด้า ประเทศญี่ปุ่นโดยที่พนักงานในโรงงานได้นำเครื่องยนต์ และอุปกรณ์ต่างๆ ของมอเตอร์ไซด์ที่ผลิตอยู่ในสายการผลิตมาลองใส่ในตัว ถังขนาดเล็กที่ทำขึ้นมาใหม่เพื่อ ทำให้เป็นมอเตอร์ไซด์ขนาดจิ๋วย่อส่วนไว้ขับขี่เล่นใน ยามว่าง หรือ นำพาติดรถไปขับขี่พักผ่อนนอกสถานที่ได้
    โดยนำเอาเครื่องยนต์ 4 จังหวะ ขนาด 50 ซีซี,ไฟส่องทาง,ชุดคันเร่ง,มือเบรค จากฮอนด้าคันใหญ่มาใช้ ส่วนตัวโครงและชิ้นส่วนโลหะอื่นๆ ใช้เศษโลหะที่เหลือจากการผลิตมอเตอร์ไซด์คันใหญ่มาทำ แล้วตกแต่งให้สวยงามโดยให้สีตัวโครงเป็นสีแดง ถังน้ำมันสีขาว ตัดกันอย่างลงตัว แล้วใส่ล้อจิ๋วขนาดเล็กเพียง 5 นิ้ว แล้วตั้งชื่อมอเตอร์ไซด์คันน้อยนี้ว่ารุ่น " แซด ร้อย " Z100 ในเวลานั้นยังไม่ใครนึกถึงชื่ออื่น
    Z100 ขับวิ่งเล่นครั้งแรกในสวนหย่อม ทามา เทค " Tama Tech " บริเวณรอบๆ โรงงานของฮอนด้านั้นเอง และก็เป็นที่ชื่นชอบของผู้ที่ได้ลองขับขี่ว่า ขี่สนุก ผู้ที่เห็นรูปร่างมอเตอร์ไซด์จิ๋วคันนี้แล้วจินตนากา รได้เหมือนกันว่า เหมือนกับลิงผอมตัวยาวๆ ที่แฝงไว้ด้วยความซุกซน จนมอเตอร์ไซด์จิ๋วคันนี้ถูกเรียกชื่อกันติดปากและรู้ จักกันภายในอย่างไม่เป็นทางการว่า " ฮอนด้า มังกี้ " " Honda Monkey " ที่ดูยังไง ยังไง ก็เหมือน "ของเล่น" มากกว่าเป็นมอเตอร์ไซด์
    ในช่วงแรกที่ทำขึ้นมานี้ยังไม่มีการวางแผนการผลิตอย่ างจริงจัง เหมือนเป็นเพียงโครงงานที่คิดขึ้นมาแล้วรอเช็คกระแสต อบรับอยู่ว่าจะไปรอด หรือไม่ แต่หลังจากที่ Z100 ผ่านสายตาพนักงานที่พบเห็นและลองขับขี่แล้วปรากฎว่า กระแสตอบรับดีมากมีแฟนๆ คลั่งไคล้ ทุกเพศทุกวัย ทุกคนที่พบเห็นล้วนแล้วแต่ปรารถนาจะเป็นเจ้าของ

    ฮอนด้า นำเจ้า Z 100 มาปรับปรุงให้ดีขึ้นเพื่อให้สามารถใช้ขับขี่บนถนนสาธ ารณะทั่วๆไปได้ ใช้เวลา 2 ปี พัฒนา จนกลายมาเป็นรุ่น " ซีแซด ร้อย " CZ 100 ในปี ค.ศ.1963 ที่พร้อมจะส่งออกไปขายในตลาดต่างประเทศซะด้วย ลิงตัวนี้ไม่ได้คิดอะไรมากได้ยกถังน้ำมันชุบโครเมี่ย มจากจากคันใหญ่ ลงมาใส่กับตัวโครงเล็กของมัน ดูผิวเผินกับคันแรกก็คงมีแค่ถังน้ำมันที่เปลี่ยนแปลง ไป จึงทำให้เจ้าลิงตัวนี้ดูเจ้าเนื้อขึ้นมาอีกหน่อยนึงเ ท่านั้นเอง

    และในปี ค.ศ. 1967 ( พ.ศ.​2510 )ถือได้ว่าเป็นช่วงเวลาสำคัญที่สุดของเจ้าลิงน้อย เพราะทางโรงงานพร้อมที่จะเปิดไลน์ผลิตจำนวนมากๆได้แล ้ว จึงจัดมังกี้อยู่ในส่วนหนึ่งของสายการผลิต จึงไม่ใช่เรื่องแปลกว่าทำไมคนรักลิงน้อยตัวนี้ที่อยู ่ต่างแดนทั่วโลกจึงเพิ่งรู้จักมันในปีนี้ ทั้งๆที่ตัวจริงของมันออกมาวิ่งเพ่นพ่านตั้งแต่ 6 ปีที่แล้วในญี่ปุ่น
    มังกี้รุ่นแรก ที่ทำตลาดอย่างจริงจังในญี่ปุ่นคือรุ่น Z50M ได้เปลี่ยนเครื่องยนต์จากระบบ โอเวอร์เฮดวาล์ว OHV มาใช้เครื่องยนต์ 4 จังหวะ ระบบ ซิงเกิลโอเวอร์เฮดแคมชาพ ของมอเตอร์ไซด์รุ่นยอดนิยมที่สุดของฮอนด้าในตอนนั้นค ือ ซุปเปอร์คัพ ซี 50 Super Cup C 50 ที่มี 3 เกียร์ คลัตช์อัตโนมัติ ที่เรียกกันว่ารถผู้หญิง นำมาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงแค่ ระบบไอดี ไอเสีย เฟืองทดเกียร์ และที่เพิ่มขึ้นมาพิเศษคือ มีวาล์วเปิดปิดที่ถังน้ำมัน เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำมันรั่วไหลออกมาเวลาจับนอนตะแค งเวลาขนขึ้นรถยนต์
    Z50M ถูกออกแบบให้มีแฮนด์แยกกันอิสระเป็น 2 ชิ้นสามารถคลายล็อค และพับเก็บได้ เบาะมีขนาดกระชับเพื่อให้สามารถใส่วางในห้องโดยสารรถ ยนต์ได้สะดวก
    สีสันบนตัวทำได้สวยสะดุดตาด้วยสีแดง ขาว และโครเมี่ยม " เบาะนั่งลายสก๊อต" ยิ่งทำให้ดูน่ารักเป็นอย่างยิ่ง
    สัดส่วนของลิงตัวนี้ทำได้น่ารักมาก ความกว้างของมันเมื่อคลายน๊อตยึดมือจับจะเหลือเพียง 35 เซนติเมตร ความสูงจากพื้นหดได้เหลือ 61 เซนติเมตร ความยาวก็เหลือเพียง 65 เซนติเมตร และตั้งราคาขายไว้ที่ 63,000 เยน (ในปี 1967นะจ๊ะ)
    ตามความเป็นจริงแล้ว เจ้าลิงน้อย Z50M ตัวนี้สามารถขับขี่วิ่งบนท้องถนนทั่วไปได้อย่างไม่มี ปัญหาใดๆ อยู่แล้ว แต่ติดอยู่ตรงที่ว่า ดูยังไงมันก็ยังดูเป็นของเล่นมากกว่าเป็นมอเตอร์ไซด์ วันยังค่ำ

    ในปี ค.ศ. 1969 ฮอนด้า มังกี้ รุ่น Z50A ก็ถูกผลิตออกมา มันถูกปรับปรุงอย่างมาก ตะเกียบหน้าถูกเปลี่ยนเป็นโช๊คอัพแบบกระบอก พร้อมอุปกรณ์เพิ่มความปลอดภัยอีกหลายรายการเช่น กระจกมองหลังและไฟเลี้ยว และเพื่อเพิ่มสมรรถนะในการขับขี่ให้ดียิ่งขึ้น ล้อที่แต่เดิมใช้ขนาด 5 นิ้ว จึงถูกเพิิ่มขนาดขึ้นเป็น 8 นิ้ว

    ในปี ค.ศ. 1970 ฮอนด้าเปิดตัวมังกี้ตัวใหมใช้ชื่อรุ่นว่า Z50Z เป็นรุ่นที่ได้พัฒนาปรับปรุงจากเดิมไปมาก เริ่มจากแฮนด์จับที่คลายพับง่ายกว่าเดิม และเมื่อพับแล้วใช้พื้นที่วางในรถน้อยกว่าเดิม สีสันที่ให้มากับลิงรุ่นนี้ก็ล้วนแต่สดใสมีชีวิตชีวา มีให้เลือก 3 อารมณ์คือ แดง candy – red , น้ำเงิน candy – blue และ เหลือง bright yellow และที่ถังน้ำมันออกแบบเป็น 2 สีตัดกัน( two – tone ) ลายใหม่


    ในปี ค.ศ. 1974 เราก็ได้เห็น มังกี้รุ่น Z50J ที่ต่อมากลายเป็นพื้นฐานของมังกี้ที่เราเห็นในปัจจุบ ัน คือได้นำเอาระบบต่างๆ ของมอเตอร์ไซด์คันใหญ่มาใช้หลายอย่าง ตั้งแต่ระบบกันสะเทือน สวิงอาร์มที่ล้อหลัง เฟรมแบบ backbone ที่แข็งแรง และกระทะล้อที่เป็นแบบมาตรฐาน ซึ่งการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงมากมายทั้งหมดที่กล่าวมาเ มื่อขับขี่จะรู้สึกได้ อย่างชัดเจนว่า ให้ความรู้สึกในการขับขี่ที่ดีเหมือนมอเตอร์ไซด์คันใ หญ่
    ต่อมาในปี ค.ศ. 1978 มังกี้ก็ได้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ ได้ปรับเปลี่ยนรูปทรงของถังน้ำมันทรงเหลี่ยมอย่างเดิ ม ที่คนรักมังกี้บ้านเราเรียกมาตลอดว่า " ถังมะละกอ " ให้มีความโค้งมนมากขึ้น กลายเป็นถังรูปทรง " หยดน้ำตา " " tear drop " ที่ชาวลิงน้อยเรียกให้เป็นมงคลนามสั้นๆ ว่า " ถังหยดน้ำ " ที่กลายมาเป็นรูปแบบของถังน้ำมันมังกี้จนถึงปัจจุบัน และได้ขยายขนาดเบาะนั่งให้ใหญ่ขึ้นอีกเล็กน้อย เพื่อให้เหมาะกับก้นฝรั่งตัวใหญ่ ทำให้ดูคล้ายกับรถมอเตอร์ไซด์ช๊อปเปอร์ของอเมริกัน เครื่องยนต์ก็มีกำลังมากขึ้น เพียบพร้อมด้วยระบบไฟสัญญาณต่างๆ เพื่อเพิ่มความปลอดภัย
    ในเดือน มกราคม เริ่มต้นของยุค มิเลเนี่ยม ปี 2000 ในวาระพิเศษเช่นนี้ ฮอนด้าก็ต้องมีอะไรดีๆ มาฝากคนรักมังกี้แน่นอน จึงได้ออกมังกี้รุ่นพิเศษผลิตในจำนวนจำนวนจำกัด 3,000 คันโดยใช้ชื่อรุ่นว่า มังกี้ " 2000 ANNIVERSARY " โดยใช้สีและลวดลายแบบเดียวกับมังกี้รุ่น Z50Z ที่ผลิตในปี ค.ศ. 197






    ฮอนด้าได้ผลิตมังกี้ออกมาอย่างต่อเนื่องโดยยังคงจุดเ ด่นที่สำคัญของมันตลอดมาคือ เป็นมอเตอร์ไซด์แคระคันเล็กๆ โดยที่เจ้าของมังกี้แต่ละคนสามารถตกแต่งมังกี้ของตนไ ด้อย่างตามใจชอบไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งเพื่อสวยงามภาย นอก หรือแต่งซิ่งเพื่อประลองความเร็ว โดยมีรายการของตกแต่งมากกว่า 1,500 รายการเชียวหละครับ
    กำเนิดกอริลลาน้อย






    เป็นที่ยอมรับในวงการสองล้อกันว่าฮอนด้า คือผู้บุกเบิกในการผลิตมอเตอร์ไซด์ขนาดจิ๋วของเล่น ในนาม มังกี้ ที่มีเสน่ห์ยั่วยวนแก่ผู้พบเห็นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1967 ( พ.ศ. 2510 ) ด้วยความน่ารักที่มีล้อขนาดเล็กเพียง 5 นิ้ว ช่วงล่างแบบแข็งตายตัว และ มีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครคือ มือจับสามารถพับเก็บได้เพื่อให้ใส่ไปในรถเก๋งไว้ให้ข ับขี่เล่นตามที่ต่างๆ ได้
    สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์หนึ่งเดียวในโลกของ มังกี้ ที่ไม่เหมือนใครนั้นเอง ทำให้ตัวมังกี้เองเป็นที่นิยมกลายเป็นตัวแทนของคนที่มีหัวใจหนุ่มตล อดกาล เจ้าลิงน้อยตัวนี้ได้เก็บบ่มปรับปรุงสมรรถนะของตัวเอ งให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ได้เปลี่ยนขนาดของยางจาก 5 นิ้วเพิ่มให้ใหญ่ขึ้นเป็น 8 นิ้ว พร้อมกับปรับปรุงระบบช่วงล่างดีขึ้นตามลำดับมาตลอด
    และแล้วในเดือน สิงหาคม ปี ค.ศ. 1978 ( พ.ศ.​ 2521 ) ฮอนด้าก็ได้เปิดตัวลิงน้อยน้องใหม่ของ มังกี้ออกมาโดยตั้งชื่อให้กับมันว่า กอริลลา"Gorilla" ตั้งรหัสผลิตว่าแซดห้าสิบเจทรี Z50J III
    เจ้า กอริลลา น้องมังกี้ตัวนี้ ใชพื้้นฐานของมังกี้มาออกแบบ ชิ้นส่วนหลายชิ้นก็ได้หยิบจาก มังกี้ผู้พี่มาใช้ ชิ้นหลักๆที่สำคัญคือโครงตัวถัง (Frame) และได้กำหนดเอกลักษณ์รูปแบบไว้อย่างชัดเจนคือ ต้องมีถังน้ำมันขนาดใหญ่กว่าเดิมเพื่อที่สามารถบรรจุ น้ำมันเชื้อเพลิงได้มากขึ้น ฮอนด้าจึงออกแบบให้ถังน้ำมันที่ออกแบบมาใหม่มีลักษณะ บวมแบบโอเวอร์ไซส์
    ์มีขนาดใหญ่เกินตัวอย่างมาก ทำให้สามารถบรรจุน้ำมันเชื้อเพลิงได้มากถึง 9 ลิตร มากกว่ามังกี้ผู้พี่ถึง 2 เท่า (มังกี้มาตรฐานมีความจุ 4.5 ลิตร ) ถังน้ำมันขนาดใหญ่เกินตัวนี้เองทำให้ดูคล้ายกับหน้าอ กที่บึกบึนของลิง กอริลลา จึงถูกนำมาตั้งชื่อภายหลัง
    และในขณะที่มังกี้มีคันบังคับเลี้ยว (handlebar) แยกเป็น 2 ชิ้นสามารถพับเก็บได้ แต่คันบังคับเลี้ยวของ กอริลลา จะติดเป็นชิ้นเดียวกันและยึดติดแน่นตายตัว มีใครทราบไหมว่าทำไมมังกี้จึงต้องออกแบบให้คันบังคับ เลี้ยวพับเก็บได้ เหตุผลก็แค่เพื่อให้สามารถขนใส่รถยนต์เพื่อนำไปขี่ที ่ไหนต่อไหนได้อย่างสะดวกเท่านั้นเองครับ แต่กอริลลานั้นมีแนวคิดในการสร้างต่างกัน มันถูกกำหนดให้ไปไหนมาไหนด้วยกำลังวังชาของมันเอง มันจึงไม่ต้องการมือจับที่พับเก็บได้ เพื่อขนใส่ในรถ พูดง่ายๆเปรียบเหมือนกับเด็กที่ไม่ยอมให้ผู้ใหญ่อุ้ม ฉันเดินไปเองได้จ้า
    อีกอย่างที่เป็นจุดเด่นของ กอริลลา นอกจากถังน้ำมันขนาดใหญ่ก็คือ ตะแกรงวางของด้านหน้า มังกี้จะมีตะแกรงวางของขนาดเล็กที่หลังเบาะบริเวณเหน ือไฟท้าย กอริลลาเห็นดีก็เอามาใช้เช่นกันแต่เพิ่มขนาดตะแกรงให้ใหญ่กว ่า ได้คืบเอาศอกแค่นั้นไม่พอกอริลลาได้เพิ่มตะแกรงข้างหน้าเข้าไปอีกโดยยึดติดไว้กับมือจ ับเหนือไฟหน้า ทำให้สามารถขนสัมภาระได้มากกว่า อีกด้วย
    ถังน้ำมันของกอริลลาที่บรรจุน้ำมันได้มากถึง 9 ลิตร ลองทายดูซิครับว่ามันจะพาเจ้าของบนเบาะใหญ่อวบของมัน ไปไกลได้แค่ไหน รับรองเดาไม่ถูกหรอกครับ เชื่อไหมครับว่ามันสามารถพาเจ้าของจากกรุงเทพด้วยน้ำ มันเต็มถังไปได้ไกลถึงลำปางเลยทีเดียว เพราะมีผลทดสอบออกมาแล้วว่า เมื่อน้ำมันเต็มถัง มันจะวิ่งได้ระยะทางถึง 630 กิโลเมตร เฉลี่ยแล้วน้ำมันเพียง 1 ลิตรมันไปได้ไกลถึง 70 กิโลเมตร ดูแล้วเหมือนได้เครื่องยนต์มหัศจรรย์มาใส่ ใช่ไหมครับ แต่เปล่าเลย ก็เครื่องยนต์ตัวเดียวกันแป๊ะๆ กับมังกี้นั้นเอง
    คือนำเอาเครื่องยนต์เบนซินจากมอเตอร์ไซด์รุ่นสุดฮิตค ือ ฮอนด้า ซุปเปอร์คัพ Honda Super Cup ที่มีขนาด 49 ซีซี ลูกสูบเดียว 4 จังหวะ ซิงเกิลโอเวอร์เฮดแคมชาฟ SOHC ระบายความร้อนด้วยอากาศแต่ใช้ระบบเกียร์ต่างกันคือ กอริลลา เลือกใช้ระบบเกียร์ธรรมดาแบบมีคลัตช์ 4 เกียร์ ส่วนมังกี้ในปีเดียวกันนั้นเลือกใช้ระบบเกียร์ธรรมดา แบบคลัตชอัตโนมัติ 3 เกียร์
    กอริลลา ได้พัฒนาอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกับมังกี้ ยาวนานถึงปี ค.ศ.​1992 แล้วสายการผลิตของกอริลลาก็หยุดลงโดยไม่แจ้งสาเหตุ แต่ด้วยความนิยมของประชาชนที่ยังคงมีต่อ กอริลลา ที่ไม่ได้ลดน้อยลงไปยังคงเห็น กอริลลาอยู่บ้างแต่ไม่มากนักเพราะส่วนใหญ่ถูกเก็บสะสม เป็นผลทำให้มูลค่าของ กอริลลาในเวลานั้นสูงขึ้นอย่างมาก
    ในเดือน กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1998 คนหัวใจลิงก็ได้ดีใจอีกครั้งเมื่อทราบว่าฮอนด้าสำนึก ผิดคิดได้ กลับมาเปิดสายการผลิต กอริลลา อีกครั้งด้วยการนำชิ้นส่วนแบบใหม่มาใช้ โดยเอามาจากมังกี้ที่ผลิตในปีเดียวกันนั้นเอง อย่างเช่น ไฟหน้าดวงใหญ่ และชิ้นส่วนจำนวนมาก อีกหลายชิ้นก็ใช้เป็นโครเมี่ยมตั้งแต่กระโหลกไฟหน้า บังโคลนหน้าและหลัง แต่ดันทะลึ่งตัดตะแกรงใส่ของด้านหน้าออกไป ไม่มีอีกแล้วบ๊ายบาย..
    ส่วนถังน้ำมันไซส์ยักษ์ ยังคงรักษาเอกลักษณ์ไว้เช่นเดิมทุกประการ เบาะนั่งถูกออกแบบใหม่ให้นั่งขับขี่สบายกว่าเดิม
    ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1999 ปีที่ทุกวงการทั่วโลกกำลังผวากับเรื่อง วายทูเค Y2K โดนฝรั่่งหลอกรับประทานกันถ้วนหน้า ฮอนด้าก็สร้างปฏิมากรรมชิ้นพิเศษออกมา นั่นคือ ฮอนด้า กอริลลา รุ่นพิเศษของฤดูใบไม้ผลิ "Honda Gorilla Spring Collection" ในความหมายของชื่อกอริลลารุ่นนี้ต้องการสื่อว่าเป็น "กอริลลาที่ทำให้โลกสว่างไสว" ดังนั้นทุกชิ้นส่วนของกอริลลารุ่นนี้ที่สายตามองเห็นจึงถูกจับมาชุบโครเมี่ยมซะแวว วาวไปหมด ตั้งแต่ถังน้ำมัน ฝาครอบด้านข้าง ตะเกียบล้อหน้า แผงครอบโซ่ สวิงอาร์ม ล้วนถูกชุบได้อย่างแววาว งดงาม สร้างแรงดึงดูดภายนอกได้อย่างดีเยี่ยม และฮอนด้าก็รับปากว่าจะทำให้มังกี้สว่างไสวเช่นเดียว กันครับ

    ประวัติ ความเป็นมา จักรยานยนต์

    รถจักรยานยนต์คันแรกของโลกถือกำเนิดขึ้นมาในโลกแห่งว ิศวกรรม เกือบจะเป็นเวลาเดียวกับรถยนต์ที่ใช้พลังขับเคลื่อนแ บบสันดาปภายในทั่วไป เพียงแต่ว่ารูปทรงในระยะแรกต้องอาศัยรถพ่วงเข้ามาเสร ิมบ้างอาศัยล้อที่ 3 เข้ามาช่วยบ้าง เพื่อการทรงตัวดีขึ้น โดยระยะแรกๆ นั้น เจมส์ วัตต์ ได้สร้างเครื่องจักรไอน้ำขึ้นมาเป็นตัวต้นกำลัง ซึ่งมีชิ้นส่วนขนาดค่อนข้างใหญ่ และมีน้ำหนักมาก ขีดจำกัดในการใช้งานของเครื่องยนต์ ชนิดนี้จึงถูกนำไปใช้ในยานพาหนะขนาดใหญ่ เพื่อให้เกิดการสมดุลในน้ำหนักที่ค่อนข้างมากของตัวต ้นกำลัง เช่นรถจักรไอน้ำที่เราคุ้นตามาแต่ยุคบุกเบิก หรือเรือกลไฟที่เราเคยใช้งานเพื่อขนถ่ยสินค้าตามลำน้ ำกันนั่นเอง
    ในช่วงปลายค.ศ 1884 นั้นน่าเป็นครั้งแรกที่มีการบันทึกถึงการเสนอผลงาน "พิมพ์เขียว" แสดงให้เห็นถึงการทำงานของเครื่องยนต์ สันดาปภายในขนาดเล็กที่จะมีการพัฒนาสำหรับการนำมาติด ตั้งในรถจักรยานยนต์เป็นครั้งแรก โดยทุนสนับสนุนของมหาเศรษฐีชาวอังกฤษชื่อ Edward Butler ด้วยเครื่องยนต์ ที่ใช้คาบูเรเตอร์เป็นตัวผสมอากาศเป็นครั้งแรก โดยใช้คอยล์จุดระเบิดเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการสันดาป ภายใน ห้องเผาไหม้ในเวลาดังกล่าวนั้น เครื่องยนต์แบบ 4 จังหวะของ OTTO ก็กำลังอยู่ในขั้นวิจัยระยะสุดท้าย โดยทางประเทศเยอรมันนี ก็ตั้งความหวังในการสร้างรถจักรยานยนต์คันแรกด้วยทีม งานของ Gottlieb Daimler และ Karl Benz ซึ่งต่อมาทั้งคู่สามารถสร้างได้สำเร็จ แต่เสียดายที่รถต้นแบบถูกไฟไหม้ไปพร้อมๆ กับโรงงานในปี ค.ศ. 1903
    ในช่วงปีค.ศ. 1892 เฟลิกซ์ธีโอดอร์มิลเลอร์ นักค้นคว้าชาวอังกฤษ ได้นำเอาเครื่องยนต์แบบ 5สูบ (ในวงการวิศวกรรมยานยนต์เรียกกันว่าสูบดาว) ส่งกำลังโดยตรงจากห้องข้อเหวี่ยงลงสู่ดุมของวงล้อโดย ตรง โดยมิลเลอร์ตั้งชื่อรถของเขาว่า Stellar ซึ่งมีความหมายว่าดวงดาว อย่างไร ก็ตามในอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศอังกฤษยุคบุกเบิกใน ปลายศตวรรษที่ 18 Mr. John Boyd Dunlop ซึ่งเป็นลูกชายของบริษัทผู้ผลิตยาง ดันล็อปได้เข้ามามีบทบาทเสริมในด้านการผลิตยานยนต์ด้ วย
    ส่วนประเทศอิตาลี Mr. Enrico Bernardi ได้นำเอาเครื่องยนต์ตัดหญ้ามาเป็นตัวต้นกำลังขับ-ผลักดันให้รถจักรยานธรรมดา กลายเป็นรถมอเตอร์ไซค์ได้สำเร็จเป็นคนแรกของประเทศอิ ตาลีในช่วงปี ค.ศ. 1893 โดยเครื่องยนต์ชนิดนี้ ให้แรงม้าสุทธิเพียงครึ่งแรงม้า ที่รอบเครื่อง 280-500 รอบ/นาที
    ขยับขึ้นมาอีก 2 ปี การพัฒนาเครื่องยนต์ขนาดเล็ก เพื่อนำมาติดตั้งในพาหนะระดับย่อย ก็เริ่มได้จุดลงตัว โดย Mr De Dion สามารถนำเอาเครื่องยนต์ แบบสูบเดี่ยว 4 จังหวะลงมาติดตั้งในรถ 3 ล้อขนาดเล็กได้สำเร็จโดยเครื่องยนต์ต้นแบบชุดนี้ ยังไม่มีคาบูเรเตอร์ แต่ใช้กรรมวิธีในการดึงเอาไอระเหยจากน้ำมันเบนซิน ป้อนเข้าไปในห้องเผาไหม้ในจังหวะดูด ส่วนผู้ที่สร้างระบบจุดระเบิดสำหรับใช้กระตุ้นจังหวะ งานของหัวเทียน คือ Mr Robert Bosch ซึ่งต่อมาได้พัฒนาระบบไฟฟ้า ทุกชนิดเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์จนกลายเป็นบริษัท ยักษ์ใหญ่ของวงการรถยนต์และพาหนะเกือบทุกชนิดไปในปลา ยศตวรรษที่ 19 จนถึงยุคปัจจุบัน ส่วนรถจักรยานยนต์ที่ใช้วงล้อเดี่ยวและสามารถผลิตลงส ู่ตลาดโลกได้สำเร็จ เป็นผลงานคละเคล้าอยู่หลายประเทศ เช่น อังกฤษ เยอรมนี อิตาลี และฝรั่งเศษ ทางด้านประเทศเยอรมนี น่าจะเป็นผลงานของเดมเลอร์ และเบนซ์ ก่อนที่จะยุบตัวลงในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 เนื่องจากต้องปรับผังของโรงงาน ออกมาสร้างยุทธปัจจัยต่างๆ เพื่อสนับสนุนกองทัพ ส่วนทางด้านอังกฤษ มีผลงานเด่นของ "Raleigh" ที่เริ่มผลิตรถจักรยานขายเป็นอุตสาหกรรมมาก่อน แล้วจึงนำเครื่องยนต์มาติดตั้งเอาไว้ที่แผงคอหน้ารถจ ักรยานในปี ค.ศ. 1899 ด้วยรูปทรงที่ค่อนข้างสมบูรณ์แบบในที่สุด
    จากยุค 1900 มาจนถึง 2004 นับเป็นเวลากว่า 100 ปีเศษ ที่วงการอุตสาหกรรมยานยนต์ก้าวเดินต่อมาด้วยแนวความค ิดอันหลากหลาย ของวิศวกรหลายชาติ และหลายประเทศ รวมมาถึงชนชาติญี่ปุ่นหนึ่งเดียวในเอเชียที่เริ่มก้า วเข้าสู่วงการผลิตรถลงสู่ตลาดโลกในช่วงหลังของปี ค.ศ. 1950 ชื่อของรถจากประเทศญี่ปุ่น ก็เริ่มดับรัศมี แนวความคิดเดิมๆ ของบริษัทยักษ์ใหญ่ของทวีปยุโรปลงอย่างสิ้นเชิงและแน ่นอนว่าชื่อของ ฮอนด้า ยามาฮ่า ซูซูกิ และคาวาซากิ คือ 4 ในกระแสของความนิยมในระดับสูงสุดที่ยังเหลือผู้ผลิตร ถจักรยานยนต์ลงป้อนตลาดโลกอยู่เพียงไม่กี่แห่ง จากจำนวนเกือบ 100 ยี่ห้อที่มีการผลิตรถในยุคก่อน สงครามโลกครั้งที่สองจะสงบลง
    รถจักรยานยนต์สมัยแรกๆ ที่เข้ามาในประเทศไทย ได้แก่ บีเอ็มดับบลิว ฮาร์เลย์ เดวิดสัน ไทรอัมพ์ จนกระทั่งเมื่อรถจักรยานยนต์จากญี่ปุ่น เริ่มเข้าตลาดเมืองไทยจนปัจจุบันนี้ เราจะเห็นแต่รถจักรยานยนต์จากประเทศญี่ปุ่นเป็นส่วนม าก ส่วนรถจักรยานยนต์จากประเทศยุโรป ก็ยังมีอยู่แต่มีราคาที่แพง กว่ามาก อะไหล่หายากจึงมีผู้สนใจเฉพาะผู้ที่รักรถจักรยานยนต์ จากยุโรปจริงๆ และผู้ที่มีกำลังเงินในการซื้อเท่านั้น


    Kreider(เยอรมัน) Florett K53m 50cc ปี 1959


    Zundapp(เยอรมัน)

    Solex


    Puch(ออสเตรีย)


    Ducat(อิตาลี) สูบตั้งโบราณ ปี 1948

    VELLOVEP


    American Motorcycle มอเตอร์ไซด์ อเมริกัน ฮาร์เลย์ เดวิดสัน

    ปี 1898 ในวอลทั่ม แมชซาชูเซต โรงงานผลิตรถยนต์สัญชาติ อเมริกัน ได้ก่อตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกภายใต้ชื่อว่า บริษัท วอลทั่ม อุตสาหกรรม จำกัด ซึ่งเคยผลิตรถจักรยาน ก่อนที่จะพัฒนาเป็นรถจักรยานยนต์ ต่อมาในปี 1901 บริษัท เฮนดี้ อุตสาหกรรม ในสปริงฟิลด์ แมชซาชูเซต ได้เริ่มต้นผลิตรถจักรยานยนต์ที่ใช้ชื่อว่า อินเดียน และเริ่มจำหน่ายจนมียอดขายติดตลาดตั้งแต่นั้นเป็นต้น มา Charles Metz หนึ่ง ในสองผู้ก่อตั้งบริษัทวอลทั่นได้แยกตัวออกไปก่อตั้งบ ริษัทผลิตรถจักรยานยนต์ของตัวเอง โดยได้ประดิษฐ์รถจักรยานยนต์ที่สามารถวิ่งด้วยความเร ็ว 1 ไมล์ต่อ 70 วินาทีได้สำเร็จ จากความสำเร็จ นั้นเอง ต่อมาในปี 1905 เขาได้ตัดสินใจเข้าร่วมกับบริษัทผลิตรถจักรยานยนต์ Marsh เพื่อก่อตั้งบริษัทผลิต รถจักรยานยนต์อเมริกัน และเป็นที่รู้จักกันในนาม MM การผลิตของ Merkel เริ่มต้นที่รัฐวิสคอนซิน ในปี 1902 เป็นรถจักรยานยนต์ที่มีชื่อเสียงทางด้านความเร็ว Merkel ได้ผลิตคิดค้นระบบต่างๆ ซึ่งเป็น มาตรฐานการผลิตของรถจักรยานยนต์ในปัจจุบัน
    ปี 1903 ฮาร์เลย์ เดวิดสัน ได้เริ่มต้นผลิตรถจักรยานยนต์ในรัฐวิสคอนซิน
    ปี 1906 บริษัทผลิตรถจักรยานยนต์อเมริกาได้เริ่มต้นผลิตรถจัก รยานยนต์ 1000 cc 4 แรงม้า เป็นครั้งแรก
    ปี 1907 อินเดียนผลิตเครื่องยนต์ V-twin และเริ่มนำเข้าในการแข่งขัน ซึ่งสร้างชื่อเสียงให้นักบิดที่ชื่อ Irwin Cannonball Baker ผู้ซึ่งขี่รถอินเดียนจากซานดิเอโก้ แคลิฟอร์เนียถึงนิวยอร์คโดยใช้เวลา 11 วัน 12 ชั่วโมง
    ในปี 1908 ฮาร์เลย์ เดวิดสัน ทำสถิติชนะเลิศการแข่งขันประเภทความเร็วสูงสุด ทำให้ชื่อ ฮาร์เลย์ เดวิดสัน ได้รับความนิยมในอเมริกานับแต่นั้นมา
    ปี 1909 ฮาร์เลย์ เดวิดสัน ผลิตเครื่องยนต์ V-twin 1000 cc 7 แรงม้า เป็นครั้วแรก และ V-twin ได้กลายมาเป็นเครื่องหมายการค้า และโลโก้ ในปี 1917 รถของฮาร์เลย์ได้ถูกนำมาใช้ใน กองทัพสหรัฐเพื่อใช้ในสงคราม ฮาร์เลย์จึงกลายเป็น บริษัทผลิตรถจักรยานยนต์รายใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริก า บริษัทของ Merkel ได้ปิดตัวลงในปี 1917 โดยในปี 1920 เหลือเพี่ยง 2 บริษัท ยักษ์ใหญ่ในสหรัฐ คือ ฮาร์เลย์ และอินเดียน ซึ่งยังทำการผลิตอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี
    ปี 1921 บริษัท MM ได้ปิดตัวลงหลังโลดแล่นอยู่ในวงการธุรกิจยานยนต์นานถ ึง 23 ปี
    ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 อินเดียนและฮาร์เลย์ ได้ผลิตรถจักรยานยนต์เพื่อใช้ในทางทหาร และในช่วงปลานสงครามโลกไม่ได้ทำให้ฮาร์เลย์ได้รับผลก ระเทือนอย่างใด แต่อินเดียนได้รับผลกระทบ จนทำให้ไม่สามารถดำเนินธุรกิจนี้ต่อ ต่อมาในปี 1950 อินเดียน หันมาทำการนำเข้ารถขนาดเล็กภายใต้ชื่ออินเดียนเหมือน เดิม จนในที่สุดต้องปิดตัวลงในปี 1962 ปล่อยให้ฮาร์เลย์เป็นผู้นำ และเป็นตำนานรถจักรยานยนต์นับตั้งแต่นั้นมา



    Harley davidson knucklehead ปี1946


    Harley Davidson wl 750 ปี 1942


    Harley davidson Ul Racing 1200cc. ปี 1940


    Harley davidson Vl 1200cc. ปี 1939


    Harley davidson FLHTCU Ultra Classic electra guide sidecar 95th aniversary Limited edition 1340cc. ปี 1998
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย danwin999 : 23-09-2009 เมื่อ 17:02
    AM A VEGAN AND GREEN - SAVE THE WORLD
    ชมรมอนุรักษ์รถโบราณตรัง (ศรีตรัง ClassicClub)
    คลิ๊กที่นี่ www.thaiscooter.com/club/sritrang

  2. #2
    Senior Member danwin999's Avatar
    วันที่สมัคร
    May 2008
    สถานที่
    ศรีตรัง Classic Club
    ข้อความ
    664
    ขอบคุณ
    0
    ได้รับขอบคุณ 0 ครั้ง ใน 0 ข้อความ
    ผลการให้คะแนน
    16

    Smile

    ประวัติ ความเป็นมา จักรยาน

    รถจักรยาน เป็นพาหนะทางบกที่ขับเคลื่อนไปโดยกำลังของกล้ามเนื้อ มนุษย์ รถจักรยานนอกจากจะต้องเบา ก็จะต้องมีความฝืดที่เกิดขึ้นระหว่าง ล้อกับพื้นดินน้อยที่สุด และอาจจะเพิ่มความเร็วให้มากขึ้นได้พอสมควร
    ก่อนคริสต์ศักราช 2300 ปี ชาวจีนได้ประดิษฐ์ยานพาหนะทางบกที่มีลักษณะคล้ายรถจั กรยานขึ้น และต่อมาชาวอียิปต์ และอินเดียก็ได้ประดิษฐ์ขึ้นเช่นเดียว กันแต่ไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับลักษณะรูปร่าง
    ในปี ค.ศ. 1790 ชาวฝรั่งเศษชื่อ Count Mede de Sivrac ได้ประดิษฐ์ยานพาหนะคล้ายรถจักรยาน ประกอบด้วยล้อ 2 ล้อ เชื่อมกันด้วยไม้ ทำเป็นรูป คล้ายหลังม้า หรือหลังสัตว์ต่างๆ และเคลื่นที่ไปข้างหน้าด้วยการไสด้วยเท้า ใช้ชื่อยานพาหนะนี้ว่า Celerifere หรือ Velocifere มาจากภาษาลาติน Cefer แปลว่า เร็ว และ Fere แปลว่า บรรทุก
    ต่อมาในระหว่างปี ค.ศ. 1816 - 1818 Baron Karl Friedrich von drais de Sauerbrun ชาวเยอรมันได้ปรับปรุง Celerifere ด้วยการเพิ่มอุปกรณ์ สำหรับบังคับทิศทาง และมีที่นั่งที่มีสปริง และถือว่าเป็นรถจักรยานคันแรก ของโลก
    ในฝรั่งเศษ ได้นำมาใช้ และให้ชื่อว่า Draiseinne เพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ที่ได้ ประดิษฐ์ขึ้น ศาสตราจารย์ David Gordon Wilson แห่ง MIT ได้กล่าวว่า von Drais เป็นผู้ประดิษฐ์จักรยานคันแรกของโลกสำหรับในอังกฤษ ไม่เห็นด้วยกับชื่อที่ฝรั่งเศษได้ตั้งขึ้น และตั้งชื่อใหม่ว่า "Hobby horse หรือ Danny horse" ในปี ค.ศ. 1820 von Drais ได้ทำสถิติขึ้นเป็นครั้งแรกในประวิติศาสตร์ของรถจักร ยาน โดยขี่ระหว่างเมือง Beaume กับเมือง Dijon ด้วยความเร็ว ชั่วโมงละ 15 กิโลเมตร
    ในปี ค.ศ. 1821 นักประดิษฐ์ชาวอังกฤษ ชื่อ นาย Louis Gompertz ได้ปรับปรุง Draisienne โดยใส่เกียร์และสลักที่ล้อหน้า แต่ยังคงใช้เท้าไสไปบนพื้น ถ้า ใครที่ขาแข็งแรงดีก็สามารถทำความเร็วได้ 16 - 22 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
    ต่อมาในปี ค.ศ. 1839 Kirkpatrick MacMillan ช่างทำเกือกม้าชาวสกอตซ์ ได้เปลี่ยน hobby horse มาเป็นรถจักรยาน โดยเลิกการใช้เท้าไสไปบนพื้นดิน และใส่ก้านบันไดที่ล้อหน้าผู้ขี่จะปั่นลูกบันไดและบั งคับตัวรถโดยเท้าไม่ต้องแตะพื้นดิน ทำให้มีรูปร่างคล้ายรถจักรยานมากขึ้น
    ในปี ค.ศ. 1860 สองพี่น้อง Pirre และ Ernest Michaux ชาวฝรั่งเศษ ได้ประดิษฐ์รถจักรยานที่มีล้อหน้าและล้อหลังเกือบเท่ ากัน และใช้ กำลังขับเคลื่อนโดยการติดตั้งก้านบันไดที่ดุมล้อหน้า เรียกว่า Velocipede
    Pierre Lallement ซึ่งแยกตัวออกจากครอบครัว Michaux และได้ต่อ Velocipede ขึ้น และได้รับความนิยมมาก ชาวอเมริกัน ให้ฉายาว่า boneshaker
    ต่อมาถึงช่วงของผู้ประดิษฐ์ ยอดเยี่ยมชาวอังกฤษชื่อ James Starley ได้ปรับปรุงตามแบบ boneshaker ของ Michaux และภายหลังได้รับ ความสำเร็จในการประดิษฐ์รถจักรยานที่เรียกว่า "Penny Farthing" (เหรียญบาท กับเหรียญสลึง) คือล้อหน้าเหมือนเหรียญ เพ็นนีของอังกฤษ และล้อหลังเล็กเหมือนเหรียญฟาร์ทิง
    เนื่องจากรถจักรยานเหรียญบาท และเหรียญสลึงค่อนข้างอันตราย ในปี 1879 H.J. Lawson ได้ประดิษฐ์รถจักรยานนิรภัย ขับเคลื่อนล้อหลัง แต่ไม่ได้ประดิษฐ์สู่ตลาด ต่อมาในปี ค.ศ.1884 James Starly ได้ประดิษฐ์ รถจักรยานแบบนิรภัย ซึ่ง ประกอบด้วยล้อหน้าและล้อหลังเท่ากัน และโซ่โยงไปกับล้อหลัง
    ในปี ค.ศ. 1880 Humber และคณะได้ผลิตรถจักรยานตัวถังเป็นรูปขนมเปียกปูน ซึ่งเป็นแบบอย่างของจักรยานสมัยปัจจุบันนี้
    ในปี ค.ศ. 1984 การแข่งขันจักรยานยนต์ในกีฬาโอลิมปิก สหรัฐอเมริกา ได้มีการวิวัฒนาการจักรยานมากที่สุด ตัวถังรถจักรยานเปลี่ยนจากสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน เป็นรูปสามเหลี่ยม ให้กับทีมจักรยานแบบทีมเปอร์ซูทของสหรัฐฯ ใช้ในการแข่งขัน กีฬาโอลิมปิก ความจริงการวิวัฒนาการนี้มิได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก มอนเต้ แห่งศูนย์วิทยาศาสตร์การกีฬาของอิตาลี ได้ประดิษฐ์จักรยานรูปสามเหลี่ยมให้ ฟรังเดสโก้ โมเชอร์ เวลา 60 นาที สามารถขี่ได้ระยะทาง 50.644 กม. ที่สนาม ในร่มเมืองสตุตการ์ท เยอรมันตะวันตก
    จักรยานเข้ามาแพร่หลายในประเทศไทยในสมัยรัชกาลที่ 5 มีการประชุมรถจักรยานเป็นครั้งแรกที่วังบูรพาภิรมย์ เนื่องในโอกาส ที่กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถเสด็จกลับจากยุโรป พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จ พระราชดำเนิน เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ.2442
    ในปัจจุบันมีจักรยานหลายชนิด มีตั้งแต่ 1 ล้อ ไปจนถึงหลายล้อ หรือจักรยานที่มีการดัดแปลงแบบแปลกๆ เช่น มีล้อหน้าใหญ่ แต่ล้อหลังเล็ก จักรยานยัง เป็นเครื่องมือในการแข่งขันกีฬาประเภทหนึ่งด้วย
    วันที่ 22 กันยายน และทุกวันอาทิตย์ตลอดเดือนกันยายนเป็นวันปลอดรถ (Car Free Day) มีการรณรงค์ ให้ประชาชน ลดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล หันมาใช้รถจักรยาน เพื่อรถมลภาวะ และรักษาสิ่งแวดล้อมโลก




































    รถจักรยานรับจ้างทับผ้า,รีดผ้า สมัยรัชกาลที่ 6











    จักรยานรับจ้างทับผ้า รีดผ้า สมัยรัชกาลที่ 6











    จักรยาน เดตอน สมัยรัชกาลที่ 5
    ตามบันทึกชื่อในจดหมายเหตุรายวัน











    จักรยานอาชีพ ขายล็อตเตอรี่























    จักรยานติดเครื่องประกอบในไทย











    จักรยาน เพนนีฟาร์ทิง











    จักรยาน Humber ผ่าหวาย











    จักรยานคานคู่ ตรา RALEIGH











    จักรยาน ตราอาวุธ























    จักรยาน ตรา ROYAL ENFILED























    จักรยาน ตรา Royal Enfield











    จักรยาน ตรา Wearwell











    จักรยาน RUDGE ตรากลม คันเดียวในไทย











    จักรยานพับได้ PUPPY ของญี่ปุ่นรุ่นแรก











    จักรยาน











    จักรยาน เดตอน









    Japanese Motorcycle มอเตอร์ไซด์ญี่ปุ่น

    การผลิตรถจักรยานยนต์ในประเทศญี่ปุ่นเริ่มต้นขึ้นก่อ นสงครามโลกครั้งที่ 2 โซอิชิโร่ ฮอนด้าได้ก่อตั้งบริษัทฮอนด้าขึ้นเพื่อพัฒนาการผลิตร ถจักรยานติดเครื่องยนต์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับ ซูซูกิ ได้พัฒนารถจักรยานติดเครื่องยนต์ให้มีความทันสมัยมาก ขึ้นโดยเพิ่มระบบเกียร์ และตัวถีบเพื่อให้มีพลังในการขับเคลื่อนมากขึ้น นอกจากบริษัทฮอนด้าแล้วยังมีบริษัทยักษ์ใหญ่อีก3 บริษัทที่มีบทบาทต่อวงการรถจักรยานยนต์ของญี่ปุ่น บริษัทที่เก่าแก่ที่สุด คือ ยามาฮ่า ก่อตั้งขึ้นในปี 1887 โดยในยุคแรกเริ่มเป็นบริษัทผู้ผลิตเครื่องดนตรีประเภ ทเปียโนและออแกน ก่อนที่จะหันมาผลิตรถจักรยานยนต์เพิ่มขึ้น ในปี 1896 คาวาซากิ ซึ่งมีประสบการณ์ในด้านอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องยนต์ ด้านอากาศยาน ได้เข้ามาในวงการรถจักรยานยนต์ของญี่ปุ่น และในปี 1909 ซูซูกิ ซึ่งเคยดำเนินธุรกิจสิ่งทอ ได้หันเหความสนใจมาที่ตลาดใหม่ คือ รถจักรยานยนต์
    วงการรถจักรยานยนต์ของญี่ปุ่นมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว โดยในปี 1950 คาวาซากิ ได้ทำการผลิตรถจักรยานยนต์ที่สามารถวิ่งได้ต่อเนื่อง เป็นระยะทาง 50,000 กม. ซึ่งสร้างชื่อเสียงให้คาวาซากิเป็นที่รู้จักอย่างแพร ่หลายมากขึ้น อุตสาหกรรมยานยนต์ของญี่ปุ่น รถจักรยานยนต์ ขนาดเล็กเพื่อเจาะตลาดในกลุ่มอเมริกา และยุโรป โดยในปลายปี 1950 รถจักรยานยนต์ญี่ปุ่น เริ่มจำหน่ายในอเมริกาเป็นครั้งแรก โดยรุ่นที่ได้รับความนิยมคือ Honda C100 Super Cub ปี 1959 ซึ่งมียอดจำหน่ายมากกว่า 50 ล้านคันทั่วโลก ในช่วงเวลาเดียวกับบริษัทผู้ผลิตใน ญี่ปุ่นได้ทำการพัฒนารถจักรยานยนต์ที่ใช้ในการแข่งขั น ในปี 1961 Mike Hailwood ทำให้ ฮอนด้าชนะการแข่งขัน TT Race เป็นครั้งแรก และชนะการแข่งขัน World Championships ในรุ่น 125 cc. ทำให้ชื่อเสียงของฮอนด้าเป็นที่รู้จักในสนามแข่งรถทั ่วโลก และบริษัทผลิต รถจักรยานยนต์ของญี่ปุ่นอื่นๆ ทั้ง คาวาซากิ ซูซูกิ และยามาฮ่า ก็ได้สร้างชื่อเสียงในการแข่งขันรถจักรยานยนต์ระดับโ ลกเช่นกัน และจากความสำเร็จในด้านความเร็วของรถจักรยานยนต์ญี่ป ุ่น ทำให้รถญี่ปุ่นเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายมากขึ้น เกิดการเติบโตอย่างรวดเร็วของ รถจักรยานยนต์ญี่ปุ่นที่ใช้ในการขับขี่บนท้องถนน นวัตกรรมใหม่ๆ ในการผลิตรถจักรยานยนต์ของรถญี่ปุ่นเริ่มเกิดขึ้น โดยในปี 1968 ยามาฮ่า เป็บริษัทแรกที่ผลิตรถจักรยานยนต์ที่ใช้ในชีวิตประจำ วัน และรถวิบาก รถ DT-1 Enduro ได้รับความสนใจมากในอเมริกา ในขณะที่ฮอนด้า ผลิตรถ Gold Wing ซึ่งเป็นรถจักรยานยนต์คันแรกที่มีแอร์แบ็ค ในปี 2006
    ญี่ปุ่นถือเป็นประเทศเดียวในเอเชียที่ก้าวสู่ตลาดผลิ ตรถยนต์สู่ตลาดโลกในช่วงหลังของปี ค.ศ. 1950 ชื่อของรถจากประเทศญี่ปุ่น ก็เริ่มต้นดับรัศมีแนวความคิดเดิมๆ ของรถยุโรป ลงอย่างสิ้นเชิง และแน่นอนว่าชื่อของ Honda,Yamaha,Kawasaki และ Suzuki คือ 4 ในกระแสความนิยมสูงสุดที่ยังหลงเหลือผู้ผลิตรถจักรยา นยนต์สู่ตลาดโลกอยู่เพียงไม่กี่แห่ง จากหลายร้อยยี่ห้อที่มีการผลิตรถในยุคก่อนสงครามโลกจ ะจบลง ปัจจุบัน ฮอนด้า คาวาซากิ ซูซูกิ และยามาฮ่า ได้ทำการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมียอดขายทั่วโลก และยังเป็นที่นิยมทั้งในยุโรปและเอเชีย และยังเป็นรถที่ได้รับการยอมรับในวงการแข่งขันรถจักร ยานยนต์ในระดับโลก











    HONDA XL125 ปี 1975











    HONDA CG110 ปี 1976











    HONDA CG125 k3 ปี 1975











    HONDA C92 Benly HD. ปี 1960











    HONDA Benly C92 ปี 1959











    HONDA CB92s ปี 1959











    HONDA C72 ปี 1969











    HONDA Dream CB380 ปี 1967











    HONDA S90 ปี 1967











    HONDA C200 ปี 1963











    HONDA CL90 Scrambler ปี 1966











    POINTER PSB-V ปี 1958











    YAHAMA YL-2 ปี 1976











    HONDA CM91 ปี 1964











    HONDA C100 Super Cub ปี 1960











    HONDA C240 ปี 1962











    HONDA C65y ปี 1964











    KAWASAKI KH125 ปี 1977









    SUZUKI K125 m1 ปี 1969
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย danwin999 : 23-09-2009 เมื่อ 17:07
    AM A VEGAN AND GREEN - SAVE THE WORLD
    ชมรมอนุรักษ์รถโบราณตรัง (ศรีตรัง ClassicClub)
    คลิ๊กที่นี่ www.thaiscooter.com/club/sritrang

  3. #3
    Senior Member danwin999's Avatar
    วันที่สมัคร
    May 2008
    สถานที่
    ศรีตรัง Classic Club
    ข้อความ
    664
    ขอบคุณ
    0
    ได้รับขอบคุณ 0 ครั้ง ใน 0 ข้อความ
    ผลการให้คะแนน
    16

    Smile

    Europian Motorcycle มอเตอร์ไซด์ ยุโรป เวสป้า

    ประเทศในทวีปยุโรปถือเป็นต้นกำเนิดของรถจักรยานยนต์ นับตั้งแต่การประดิษฐ์รถจักรยานยนต์คันแรกของ OTTO และการพัฒนาของทีมงาน Gottlieb Daimler และ Karl Benz ในเยอรมนี ซึ่งสามารถสร้างได้สำเร็จ แต่เสียดายที่รถต้นแบบถูกไฟไหม้ไปพร้อมๆ กับโรงงานในปี ค.ศ. 1903 และในช่วงปี ค.ศ. 1892 แฟลิกซ์ ธีโอดอร์ มิลเลอร์ นักค้นคว้าชาวอังกฤษ นำเอาเครืองยนต์ แบบ 5 สูบ ส่งกำลังโดยตรงจากห้องข้อเหวี่ยงลง สู่ดุมของวงล้อโดยตรง โดยมิลเลอร์ตั้งชื่อรถของเค้าว่า Stellar ในอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศอังกฤษยุคบุกเบิกในปลายศ ตวรรษที่ 18 Mr. John Boyd Dunlop ซึ่งเป็นลูกชายของบริษัทผู้ผลิตยางดันล๊อป ได้เข้ามา มีบทบาทเสริมในด้านการผลิตยานยนต์ ส่วนประเทศอิตาลี Mr Enrico Bernardi ได้นำเอาเครื่องยนต์ตัดหญ้ามาเป็นตัวต้นกำลังขับ-ผลักดันให้รถจักรยานธรรมดากลายเป็นรถจักรยานยนต์ได้ส ำเร็จ เป็นคนแรกของประเทศ อิตาลีในช่วง ปีค.ศ.1893
    ค.ศ. 1895 มีการพัฒนาเครื่องยนต์ขนาดเล็ก เพื่อนำมาติดตั้งในพาหนะระดับย่อย ก็เริ่มได้จุดลงตัว โดย Mr De Dion สามารถ นำเอาเครื่องยนต์แบบสูบเดี่ยว 4 จังหวะ ลงมาติดตั้งในรถ 3 ล้อ ขนาดเล็กได้สำเร็จ ส่วนผู้ที่สร้างระบบจุดระเบิดสำหรับใช้กระตุ้นจังหวะ งานของหัวเทียนดำเนินงานโดย Mr Robert Bosch ซึ่งต่อมาได้พัฒนาระบบไฟฟ้าทุกชนิดเพื่อใช้ในอุตสาหก รรมยานยนต์จนกลายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ ของวงการรถยนต์ และพาหนะเกือบทุกชนิดไปในปลายศตวรรษที่ 19 จนถึงยุคปัจจุบัน ส่วนทางด้านอังกฤษ มีผลงานเด่นของ Raleigh ที่เริ่มผลิตรถจักรยานขายเป็นอุตสาหกรรมมาก่อน แล้วจึงนำเครื่องยนต์มาติดตั้งเอาไว้ที่แผงคอหน้า รถจักรยานในปี ค.ศ. 1899 ด้วยรูปทรงที่ค่อนข้างสมบูรณ์แบบ จากยุค 1900 มาจนถึงปัจจุบัน นับเป็นเวลากว่า 100 ปีเศษที่วงการอุตสาหกรรมยานยนต์ของยุโรปก้าวเดินต่อม าด้วยแนวความคิดอันหลากหลายของ วิศวกรหลายชาติ และหลากหลายประเทศในทวีปยุโรป จนได้ผลิตรถจักรยานที่มีชื่อเสียง เช่น BMW(เยอรมัน), Moto Guzzi,Ducati(อิตาลี),Triumph,BSA,Norton และ Ariel(อังกฤษ)
    BMW เริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ. 1916 เมื่อวิศวกรเครื่องกลชาวเยอรมันสองคน คือ Carl Rapp และ Max Friz ได้ร่วมกันก่อตั้งบริษัท Bayerische Flugzkugwerkeag สร้างเครื่องยนต์สำหรับเครื่องบินในเยอรมันนีเพียงสอ งปีหลัง จากนั้น ในปี ค.ศ. 1918 บริษัทได้เปลี่ยนชื่อกิจการเป็น Bayerische Motoren Werkeag (BMW) กิจการ เจริญเติบโต และขยายตัวอย่างรวดเร็ว ปี ค.ศ. 1923 รถจักรยานยนต์คันแรกได้กำเนิดขึ้นหลังจากสงคราม สเปน-อเมริกัน คือ BMW R32 รถจักรยานยนต์ BMW ยังคงถูกผลิตออกมาโดยเริ่มจำหน่ายออกสู่ตลาดโลก และเป็นจุดเริ่มต้นของกิจการที่รู้จักกันดีทั่วโลกใน ช่วงหกทศวรรษต่อมา
    รถจักรยานยนต์ Ducati ได้กลายมาเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก ได้เริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ. 1926 สามพี่น้อง Ducati เริ่มต้นจากการก่อตั้งธุรกิจบริษัทอุตสาหกรรมผลิตส่ว นประกอบวิทยุกระจายเสียงก่อนที่จะหันเหมาผลิตรถจักรย านยนต์ Cucciolo ได้ถูกผลิตขึ้นและจำหน่ายเพื่อใช้เป็นองค์ประกอบในกา รติดตั้งจักรยานต่อมาได้ถูกพัฒนาเพื่อใช้กับรถจักรยา นยนต์ขนาดเล็ก ทำให้ Ducati ได้รับการยอมรับ ปี ค.ศ. 1952 Cruiser 175 cc ได้กำเนิดขึ้น ตามมาด้วย Spartan 98 cc ในปี ค.ศ. 1953 และเปลี่ยนเป็น 125 cc ในเวลาต่อมา ปี ค.ศ. 2001 Ducati ได้สูญเสีย Bruno Ducati หนึ่งในสามพี่น้องผู้ร่วมก่อตั้ง Ducati แต่ความฝันของ Ducati ยังคงดำเนินต่อไป ปัจจุบัน Ducati ยังคงเป็นที่รู้จัก และได้รับการยอมรับจากทั่วโลก
    ส่วนเวสป้า เป็นรถมอเตอร์สกู๊ตเตอร์ เริ่มต้นผลิตในประเทศอิตาลีหลังจากที่มีการเริ่มต้นผ ลิตรถ Scooter ขนาดเล็กตามมาด้วยรุ่นที่มีชื่อว่า Vespa(Wasp) ในเวลาต่อมาซึ่งรุ่นนี้มีความก้าวหน้ามากทั้งด้านรูป ทรง และวิศวกรรม ต่อมาได้กลายเป็นต้นแบบของ Vespa ที่มีการวางจำหน่ายในท้องตลาดจนถึงปัจจุบัน











    BMW R67/2 ปี 1953











    BMW R25/3 ปี 1954











    BMW R26 ปี 1960











    BMW R27 ปี 1962











    BMW R50 ปี 1959











    BMW R26 ปี 1962











    BMW R50 ปี 1955











    BMW R60 ปี 1957











    BMW R69 S ปี 1969











    BMW R60/5 ปี 1969











    VESPA VSB1T/GS160 ปี 1962











    VESPA VSX1T/PX 200 E ปี 1982











    Honda Fusion 250 cc. ปี 1995











    VESPA VBB2T/150 ปี 1964











    LAMBRETTA DL200/Racing ปี 1969











    LAMBRETTA Series3 Li 150 ปี 1962











    LAMBRETTA Series4 DL200 with Trailler
    ปี 1969











    LAMBRETTA Series2 Li 150 ปี 1962











    HEINKEL Roller 150(TYPE 14.00) ปี 1962











    HEINKEL Tourial 175(103 A1) ปี 1958











    DUCATI DESMO มาร์ก 250 cc. ปี 1961











    DUCATI มาร์ก3 250cc. ปี 1961

    Monkey Bike

    เรื่องราวของลิงน้อย เริ่มต้นในปี ค.ศ. 1961 ( พ.ศ. 2504 ) ในโรงงานผลิตมอเตอร์ไซด์ฮอนด้า ประเทศญี่ปุ่นโดยที่พนักงานในโรงงานได้นำเครื่องยนต์ และอุปกรณ์ต่างๆ ของมอเตอร์ไซด์ที่ผลิตอยู่ในสายการผลิตมาลองใส่ในตัว ถังขนาดเล็กที่ทำขึ้นมาใหม่เพื่อ ทำให้เป็นมอเตอร์ไซด์ขนาดจิ๋วย่อส่วนไว้ขับขี่เล่นใน ยามว่าง หรือ นำพาติดรถไปขับขี่พักผ่อนนอกสถานที่ได้ โดยนำเอาเครื่องยนต์ 4 จังหวะ ขนาด 50 ซีซี,ไฟส่องทาง,ชุดคันเร่ง,มือเบรค จากฮอนด้าคันใหญ่มาใช้ ส่วนตัวโครงและชิ้นส่วนโลหะอื่นๆ ใช้เศษโลหะที่เหลือจากการผลิตมอเตอร์ไซด์คันใหญ่มาทำ แล้วตกแต่งให้สวยงามโดยให้สีตัวโครงเป็นสีแดง ถังน้ำมันสีขาว ตัดกันอย่างลงตัว แล้วใส่ล้อจิ๋วขนาดเล็กเพียง 5 นิ้ว แล้วตั้งชื่อมอเตอร์ไซด์คันน้อยนี้ว่ารุ่น " แซด ร้อย " Z100 ในเวลานั้นยังไม่ใครนึกถึงชื่ออื่น Z100 ขับวิ่งเล่นครั้งแรกในสวนหย่อม ทามา เทค " Tama Tech " บริเวณรอบๆ โรงงานของฮอนด้านั้นเอง และก็เป็นที่ชื่นชอบของผู้ที่ได้ลองขับขี่ว่า ขี่สนุก ผู้ที่เห็นรูปร่างมอเตอร์ไซด์จิ๋วคันนี้แล้วจินตนากา รได้เหมือนกันว่า เหมือนกับลิงผอมตัวยาวๆ ที่แฝงไว้ด้วยความซุกซน จนมอเตอร์ไซด์จิ๋วคันนี้ถูกเรียกชื่อกันติดปากและรู้ จักกันภายในอย่างไม่เป็นทางการว่า " ฮอนด้า มังกี้ " " Honda Monkey " ที่ดูยังไง ยังไง ก็เหมือน "ของเล่น" มากกว่าเป็นมอเตอร์ไซด์ ในช่วงแรกที่ทำขึ้นมานี้ยังไม่มีการวางแผนการผลิตอย่ างจริงจัง เหมือนเป็นเพียงโครงงานที่คิดขึ้นมาแล้วรอเช็คกระแสต อบรับอยู่ว่าจะไปรอด หรือไม่ แต่หลังจากที่ Z100 ผ่านสายตาพนักงานที่พบเห็นและลองขับขี่แล้วปรากฎว่า กระแสตอบรับดีมากมีแฟนๆ คลั่งไคล้ ทุกเพศทุกวัย ทุกคนที่พบเห็นล้วนแล้วแต่ปรารถนาจะเป็นเจ้าของ











    Honda CZ100 ปี 1964











    Honda Z50 M ปี 1967











    Honda Z50 Z ปี 1971











    Honda Z50 Z ปี 1971











    Honda Z50 Z ปี 1971











    Honda Z50 J ปี 1974











    Honda Z50 J Gorilla White Special ปี 1988











    Honda Z50 J Modified











    Honda Z50 J CB Limited ปี 2002











    Honda Z50 J ปี 2006











    Honda Z50 J 30 th Limited ปี 1997
    AM A VEGAN AND GREEN - SAVE THE WORLD
    ชมรมอนุรักษ์รถโบราณตรัง (ศรีตรัง ClassicClub)
    คลิ๊กที่นี่ www.thaiscooter.com/club/sritrang

  4. #4
    Senior Member danwin999's Avatar
    วันที่สมัคร
    May 2008
    สถานที่
    ศรีตรัง Classic Club
    ข้อความ
    664
    ขอบคุณ
    0
    ได้รับขอบคุณ 0 ครั้ง ใน 0 ข้อความ
    ผลการให้คะแนน
    16

    มาตรฐาน

    Fiat 124 Sport Spider รถส่งออกชั้นดีจากอิตาลี

    ขอขอบคุณที่มาบทความ : carvariety เฟียต 124 สปอร์ตสไปเดอร์ (Fiat 124 Sport Spider)คือผลผลิตของเฟียตแห่งอิตาลี มีสายการผลิตเป็นระยะเวลา 20 ปี โดยส่วนใหญ่ของรถรุ่นนี้ส่งออกไปจำหน่ายในสหรัฐอเมริ กา
    Sport Spider เริ่มเปิดตัวในงานแสดงรถยนต์ที่ตูรินเดือนพฤศจิกายน 1966 จากนั้นรถตัวน้องคือ Fiat 124 Coupeก็คลอด ตามมาในปี 1967 รถสองคันนี้มีความเกี่ยวข้องกับ Fiat 124 Sedan ซึ่งผลิตขึ้นมาก่อนหน้านั้น เนื่องจากใช้ระบบส่งกำลัง ที่ต่อเนื่องกันมา แต่ความแตกต่างของพวกมันก็มีให้เห็นเด่นชัดเช่นกัน โดยเฉพาะ Spider ที่มีฐานล้อสั้นกว่า Coupe กับ Sedan นอกจากนี้ตัวถังของ Spider ยังออกแบบและผลิตโดยบริษัทออกแบบรถชื่อก้องโลก พินินฟารีน่า (Pininfarina) ขณะที่ Coupe กับ Sedan ออกแบบและผลิตตัวถังโดยเฟียตเอง
    เครื่องยนต์ของรถรุ่นนี้ และเหล่าพี่น้องออกแบบโดยออเรลิโอ ลัมเปรดี้อดีตหัวหน้าวิศวกรรมของเฟอร์รารี่ โดยลัมเปร ดี้เพิ่มขนาดความจุให้รถขึ้นเรื่อย ๆ เริ่มต้นด้วยขนาด 1438 ซี.ซี. ในปี 1966 แล้วเพิ่มขึ้นเป็น 1608 ซี.ซี. ในปี 1970 (ลดลง มาเหลือ 1592 ซี.ซี. ในปี 1973) ตามด้วย 1756 ซี.ซี. ในปี 1974 และปิดท้ายด้วย 1995 ซี.ซี. ในปี 1979 ปี 1980 มีการ เปลี่ยนแปลงระบบจ่ายเชื้อเพลิงจากคาร์บูเรเตอร์ไปเป็ นหัวฉีด นอกจากนั้นยังมีแบบที่ติดเครื่องยนต์เทอร์โบ เรียกว่า Volumex ในช่วงปลายของสายการผลิต แต่ก็มีจำนวนน้อยมาก
    เครื่องยนต์ที่มีพื้นฐานการออกแบบของลัมเปรดี้ ยังคงถูกผลิตออกมาอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งศตวรรษ 1990 ถือเป็นเครื่องยนต์ที่อยู่ยงคงกระพันที่สุดรุ่นหนึ่ง เท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ ทั้ง Spider และ Coupe ถูกส่งออกไปจำหน่าย ยังสหรัฐครั้งแรกในปี 1968 พอถึงปี 1969 Spider ก็เป็นรถตลาดราคายุติธรรมรุ่นหนึ่งในไม่กี่รุ่นที่ติ ดดิสก์เบรก ทั้ง 4 ล้อ นอกจากนี้พวกเขายังมีสิ่งนำเสนอให้ลูกค้าก็คือ ระบบส่งกำลัง 5 สปีด ยางเรเดียล ดับเบิลโอเวอร์เฮด แคมชาฟท์ หลังคาประทุนที่สามารถติดตั้งได้ภายใน 15 วินาที ราคาขายของ Spider ในสหรัฐสำหรับปี 1968อยู่ ที่ 3,250 เหรียญสหรัฐ ใกล้เคียงกับวอลโว่ 122 (3,000 เหรียญ) และพลีมัธ บาร์ราคูดา เครื่อง 340ci (3,200 เหรียญ สหรัฐ)

    Edsel Ranger เลือกเกิดไม่ได้

    ขอขอบคุณที่มาบทความ : นิตยสารรถวันนี้ ปีที่ 9 ฉบับที่ 401 (487/1 ปี40) วันที่ 16-23 กันยายน 2551 เอดเซล (Edsel) คือรถยนต์ที่ผลิตโดยบริษัทฟอร์ด มอเตอร์ ระหว่างปีการผลิต 1958,1959 และ1960 เป็นที่รู้จักในฐานะ "หนึ่งในรถยนต์ที่ล้มเหลวที่สุดในประวัติศาสตร์อุตสา กรรมยานยนต์ของสหรัฐ โดยเฉพาะในเรื่องของการตลาด"
    ฟอร์ดทำโครงการเอดเซลให้ดูเป็นความลับน่าค้นหาสร้างค วามสนใจให้เกิดขึ้นกับลูกค้า ซึ่งก็น่าจะเป็นวิธีที่ถูกต้องแต่ตัวของผลิตภัณฑ์ที่ เปิดตัวของผลิตภัณฑ์ที่เปิดตัวเมื่อวันที่ 4กันยายน 1957 สร้างความผิดหวังให้ผู้ที่รอคอย เพราะมันไม่ได้มีอะไรใหม่หรือสร้างความตื่นตาตื่นใจใ ห้เกิดขึ้น นั่นคือจุดเริ่มต้นแห่งหายนะสำหรับ Edsel ซึ่งยังอุตสาห์ผลิตจำหน่ายได้นานถึง 3 ปี
    มีผู้วิจารณ์ว่าชื่อ Edsel คืออีกหนึ่งในข้อผิดพลาดสำคัญ เพราะฟอร์ดไม่ได้ใช้ชื่อที่ได้จากการสำรวจตลาดมาเป็น เวลานาน แต่กลับใช้ชื่อ Edsel (Edsel Bryant)ซึ่งเป็นชื่อของบุตรชายคนเดียวของเฮนรีและคลารา ฟอร์ดแทน ชนิดไม่อิงหลักวิชาการ
    และที่ปฏิเสธไม่ได้คือ มันเป็นรถขนาดใหญ่เกินไป ขณะที่ความนิยมของรถเล็กกำลังจะมา Edsel จึงกลายเป็นรถที่สวนกระแส ไม่น่าแปลกใจที่ยอดขายจะมีแต่ตกต่ำลง เท่านั้นยังไม่พอปี 1957 บังจัดเป็นปีที่อุตสาหกรรมรถยนต์ซบเซาด้วย โดยมีเพียงฟอร์ดธันเดอร์เบริ์ด กับแรมเบลอร์ อเมริกัน เท่านั้นที่มียอดขายสูงขึ้น
    สำหรับเอดเซล เรนเจอร์ (Edsel Ranger) คือเอดเซลโมเดลที่ยืนหยัดอยู่จนวาระสุดท้าย Ranger ใช้ตัวถังร่วมกับ Edcel Pacer ซึ่งเป็นแบบย่อขนาด แต่ Ranger ถูกวางตัวไว้ในตลาดที่ต่ำกว่า โดยใน 2 ปีแรกของการผลิต Ranger ไม่ได้เป็นรถตัวหลัก เป็นเพียงตัวเสริมเพิ่มทางเลือกให้ลูกค้าที่อาจจะชอบ รถที่มีตัวถังสั้นลงกว่ารถใหญ่โดยปรกติเล็กน้อย แต่ถึงขนาดนั้นก็ยังมีฐานล้อห่าง 118 นิ้ว (9 ฟุต 10 นิ้ว)
    รถรุ่นนี้ติดตั้งเครื่องยนต์ V8ความจุ 361 ลูกบาศก์นิ้ว ส่งกำลังแบบ 3 สปีดธรรมดา มีออพชั่นเป็นเกียร์ออโต้ Teletouch ซึ่งมีปัญหาค่อนข้างมาก จน กระทั่งถูกยกเลิกไปในปี 1959 ซึ่งในปีการผลิตนั้น Ranger ก็ได้ยึดฐานล้อออกไปเป็น 120 นิ้ว (10 ฟุต)เช่นเดียวกับโมเดลอื่น ไม่ว่าจะเป็น Corsair, Pacer หรือ Citation สำหรับสไตล์ตัวถังก็มีให้เลือกทั้ง 2 ประตูคูเป้ 4 ประตูซีดาน รวมทั้ง 2 ประตู และ 4 ประตูฮาร์ดท็อป
    Edsel มียอดขายในปีแรกทั้งสิ้น 63,110 คัน จัดเป็นรถปีแรกที่มียอดจำหน่ายสูงสุดเป็นอันดับสองเท ่าที่เคยมีมา เป็นรองเพียงการเปิดตัวของPlymouth ในปี 1928 เท่านั้น แต่เริ่มต้นสวยไม่ได้หมายความว่าจะประสบความสำเร็จ Edsel เริ่มแผ่วในปี 1959ซึ่งขายได้เพียง 44,891 คัน แล้วปี 1960 ก็กลายเป็นปีการผลิตสุดท้ายของEdsel ซึ่งผลิตออกจำหน่ายเพียง 2 ตัว คือ Ranger กับ Villager และขายออกเพียง 2,846 คันแล้วฟอร์ดก็ประกาศยุติการผลิต Edsel เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 1959 เพียง 4 วันหลังจากที่เปิดตัวรถรหัส 1960 (จำหน่ายต่อไปถึงปลายเดือนพฤศจิกายน)
    สำหรับ Edsel Ranger มียอดจำหน่ายทั้งสิ้น 21,701 คัน แบ่งเป็นตัวถัง 2 ประตูคูเป้ 4,615 คัน 4 ประตู ซีดาน 74,14 คัน ฮาร์ดท็อปคูเป้ 6,005 คัน และฮาร์ดท็อป 4 ประตู 3,667 คัน ราคาขายอยู่ระหว่าง 24,84-2,643 เหรียญสหรัฐ


    มาร์มอน (Marmon)ยอดนักบุกเบิก

    มาร์มอน(Marmon) คือชื่อของรถยนต์ซึ่งผลิตโดยบริษัท Nordyke&Marmon Company ซึ่งตั้งอยู่ที่อินดีแอนาโปลิส รัฐอินดีแอนา ตั้งแต่ปี ค.ศ.1902 ถึงปี 1933 บริษัทนี้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักเมื่อเป็นผู้ริเริ ่มติดตั้งกระจกมองหลังนอกจากนี้ยังเป็นผู้บุกเบิกเคร ื่องยนต์ V16 และนำอะลูมิเนียมมาใช้ในอุตสาหกรรมผลิตยานยนต์
    บริษัทแม่ของมาร์นอน ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 1851 จำหน่ายอุปกรณ์โม่แป้งก่อนจะแตกสาขาการผลิตตลอดช่วงป ลายศตวรรษที่ 19 รถยนต์คันแรกของพวกเขาผลิตออกมาเป็นรถตัวอย่างในปี 1902 ติดตั้งเครื่องยนต์ V-twin ระบายความร้อนด้วยอากาศ แล้วจึงเปลี่ยนเป็นเครื่อง v4 ระบายความร้อนด้วยอากาศในปีต่อมา
    ไม่กี่ปีให้หลัง มาร์มอนเริ่มบุกเบิกเครื่องยนต์ v6 และ v8 จากนั้นก็หันมาใช้เครื่องยนต์สูบเรียงซึ่งดูจะเข้าท่ ากว่าซึ่งก็ทำให้มาร์มอนมีชื่อเสียงว่าเป็นรถยนต์ที่ เร็วและเชื่อถือได้ยี่ห้อหนึ่งในช่วงทศวรรษ 1900
    ปี 1909 มาร์มอนออกรถ "โมเดล 32" สู่ตลาด และสร้างชื่อด้วยการเป็นรถยนต์คันแรกที่คว้าแชมป์ควา มเร็วรายการ "อินดีแอนาโปลิส 500" นอกจากนี้ยังได้รับการบันทึกว่า เป็นรถยนต์คันแรกของโลกที่ติดตั้งกระจกมองหลังด้วย
    เท่านั้นยังไม่พอ มาร์มอนผลิตรถ"โมเดล 34" ขึ้นมาในปี 1916 ติดตั้งเตรื่องยนต์ 6 สูบเรียง โอเวอร์เฮดวาล์วผ(ohv)บล็อกเป็นอะลูมิเนียม ที่โดเด่นคือ ใช้วัสดุผลิตแชสซี และตัวถังที่มีน้ำหนักเบาทำให้รถคันนี้มีน้ำหนักเพีย ง 3,295 ปอนด์(ประมาณ 1,495 กก.)
    ความสำเร็จของโมเดล 34 ทำให้มันมีช่วงการผลิตถึง 8 ปี แต่แล้วบริษัทก็ต้องพบกับปัญหาด้านการเงิน พวกเขาพยายามแก้สถานการณ์ด้วยการผลิตรถเครื่องยนต์ 8 สูบเรียงให้ชื่อว่า รูสเวลต์(Roosevelt) ออกจำหน่ายในปี 1929 ซึ่งมันได้รับการบันทึกว่าเป็นรถเครื่อง 8 สูบคันแรกของโลก ที่จำหน่ายในราคาต่ำกว่า 1,000 เหรียญ มีส่วนช่วยให้ยอดจำหน่ายสูงถึง 22,300 คัน แต่แทนที่จะลืมตาอ้าปากได้ มาร์มอนกลับต้องโชคร้ายเพราะตลาดหุ้นตกอยู่ในช่วงซบเ ซาหนักในปีนั้นทำให้บริษัทประสบปัญหาด้านการเงินเพิ่ มชึ้น
    เฮาเวิร์ด มาร์มอน เริ่มงานรถเครื่องยนต์ v16ในปี 1927 ใช้เวลาถึง 4ปีกว่างานจะสำเร็จ แต่กลับไม่ได้รับคำยกย่องว่าเป็นเจ้าแรก เพราะในช่วงเวลานั้นคาดิลแลคได้เปิดตัวเครื่องยนต์ v16 ของพวกเขาเองออกมาได้ ก่อน โดย ผู้ออกแบบคือ โอเวน แนคเกอร์ อดีตวิศวกรของมาร์มอนเอง เช่นเดียวกับค่ายเพียร์เลส (Peerless)ที่มี เจมส์ โบแฮนนอน อดีตวิศวกรของมาร์มอนอีกคนหนึ่งเป็นที่ปรึกษา
    Marmon Sixteen ออกแบบโดยใช้อะลูมิเนียมทั้งคัน เครื่องยนต์ 16 สูบของพวกเขามีความจุ 8 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 200 แรงม้า จัดเป็นรถยนต์นั่งขนาดใหญ่ที่สุดในยุคนั้น น่าเสียดายที่ ผลิตออกมาได้เพียง 400 คัน ในเวลา 3 ปี ก่อนที่จะต้องยุติการผลิตเพราะปัญหาด้านการเงินดังกล ่าว
    ติดตามวิกฤตตลาดรถ

    Alfa Romeo GT 1300 Juniorของดีจากแดนมะกะโรนี

    ใครก็ตามที่เป็นนักเลงรถระดับคลาสสิกของโลกก็คงต้องร ู้จักและคุ้นเคยกับตำนานรถสปอร์ตของแดนมะกะโรบ้างอย่ างน้อยที่สุดAlfa Romeo เจ้าของฉายางูใหญ่แห่งมิลานก็ต้องผ่านเข้าหูกันบ้าง Alfa สร้างรถยนต์ระดับท็อปของโลกออกมาอวดสรรพคุณบนท้องถนน มาอย่างยาวนาน แม้แต่ในบ้านเราเองชื่อของ Alfa ก็ยังคงมีมนต์ขลังอยู่เสมอดดยเฉพาะกลุ่มคนรักรถสปอร์ ตเครื่องแรงจากอิตาลี ที่ถึงแม้จะมีเพียงกระจุกเดียวเท่านั้น แต่นั่นถือว่าเป็นแฟนพันธุ์แท้ ที่เข้าทำนองที่ว่าถ้าไม่รักกันจริงก็ต้องแยกทางกันไ ป
    กับตำนานความสำเร็จของรถสปอร์ตย่อมเยา ในช่วงปลายยุค 60 กับ Alfa Romeo GT 1300 Junior รถสไตล์สปอร์ตคูเป้ เกิดขึ้น ประมาณปี 1966 นับเป็นรถคูเป้ ที่มีความสวยงามมีเอก ลักษณ์เฉพาะตัว
    ความจริงแล้วรถ Alfa ที่ประสบความสำเร็จและสร้างชื่อเสียงให้กับ Alfa จนโด่งดังก็คงต้องยกให้กับเวอร์ชั่น Giulietta sprint รถคูเป้สุดสวยเครื่องยนต์ 1,290 ซี.ซี. และตัวสปอร์ตเปิดประทุน Giulia spider เครื่องยนต์ 1,570 ซี.ซี.ฝีมือการออกแบบของ Pinin Farina ซึ่งรุ่งโรจน์อยู่ในช่วงปี 1954-1965 และถ้าขยับรุ่นให้ใหญ่ขึ่นก็ต้องเป็น Berlina ซึ่งสร้างความอือฮาได้ไม่น้อย หลังจากนั้นจึงได้มาเป็นรุ่น ALFETTA
    สำหรับสปอร์ตคูเป้ GT 1300 Junior เกิดขึ้นในช่วงต่อปี 1966 โดยทางต้นสังกัดได้หันมาใช้บริการนักออกแบบอีกค่าย ที่ไม่ใช่Pinin Farina เหมือนเคย แต่เป็นดีไซน์เนอร์คู่แข่งมีชื่อเสียงไม่แพ้กันนั่นค ือ Bertone
    GT 1300 Junior นับเป็นรถสปอร์ตมีเสน่ห์ดึงดูดใจไม่น้อย โดยเฉพาะบอดี้ที่ไม่ได้เน้นความปราดเปรียวมากนัก ตัวถังทรงสามกล่อง มองผ่านอาจนึกว่าเป็นรถซีดานไปได้เช่นกัน แต่ในความเรียบง่ายนี้เองก่อให้เกิดความเป็นอมตะแบบท ี่เรียกว่า Classical Alfa design เส้นสายตัวถังไม่ซับซ้อน รวมเข้ากับไฟหน้าตากลมใหญ่แบบข้างละดวงดูมีมนต์เสน่ห ์รับโลโก้ประจำตัวที่แปะติดอยู่ที่กระจังหน้า รับกันอย่างมีจังหวะกับกันชนหน้าชุบโครเมียมชิ้นเล็ก
    มุมมองจากด้านข้างจะเห็นได้อย่างชัดเจน GT 1300 Junior เป็นคูเป้ ที่ค่อนข้างมีเอกลักษณ์ แปลกตาตรงที่กระจกประตูหน้ามีหูช้างเอาไว้เปิดรับลม ส่วนด้านท้ายออกแบบกันง่าย
    แต่ก็ไม่ถึงกับจืดชืดจนเกินไปนัก ดดยมีอักษรบ่งบอกชื่อรุ่น "GT 1300 Junior"แปะหราบนสันฝากระโปรงท้ายแก้เลื่ยน ไฟท้ายออกแบบกันง่าย เหมือนก้อนขนมปังปอนด์ วางแนวนอนซึ่งรวมเอาไฟต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน
    มาดูภายในห้องโดยสาร GT 1300 Junior เป็นคูเป้แบบ 4 ที่นั่ง ซึ่งมีความสะดวกสบายพอควร GT 1300 Junior มีดีที่ตรงแดชบอร์ดลายไม้ทั้งแผง เกจหน้าปัดแบบอนาล็อก จอกลม เรียงกันอยู่เบื้องหลังพวงมาลัย 4 จอ สำหรับคอนโซลกลางลืมไปได้เลยเพราะไม่มี มีแต่กระปุกเกียร์โผล่ขึ้นมาแทน ดังนั้นวิทยุ และสวิตซ์ต่างๆ จึงเรียงกันอยู่บนกึ่งกลางแดชบอร์ดนั่นเอง
    สำหรับพวงมาลัยให้อารมณ์ความเป็นรถสปอร์ตด้วยพวงมาลั ยแบบ 3 ก้าน ส่วนเบาะนั่งใช้แบบสปอร์ตกึ่งบักเกตซีต มีพนักพิง ศรีษะ ปรับระดับได้ ส่วนเบาะหลังเป็นเบาะยาวแต่ช่วงเบาะหลังค่อนข้างแคบต ามฟอร์มรถสปอร์ต 2+2 ที่นั่งเครื่องยนต์ขุมพลังติดตัว หากเปิดฝากระโปรงหน้าของรถค่ายนี้ คงจะคุ้นเคยกันดีกับเครื่องยนต์ 4 สูบ ทวินแคม ซึ่งทันสมัยสุดๆในยุคนั้น เครื่องยนต์แบบ 4 สูบ DOHC 8 วาล์ว ขนาดความจุกระบอกสูบ 1,290 ซี.ซี.พร้อมระบบการจ่ายเชื้อเพลิงด้วยคาร์บูเรเตอร์ Weber 40DCOE 28 2 ตัว ระเบิดพลังงานออกมาได้สูงสุดถึง 104 ps /6,000 rpm มีแรงบิดสูงสุด 137 Nm /3,200 rpm แค่เห็นสเปกก็ต้องยอมรับแล้วล่ะว่าแรงของจริง โดยเฉพาะเมื่อเทียบอายุของรถ
    ระบบถ่ายทอดกำลัง Alfa เน้นเอามันจึงไม่สนใจความสะดวกสะบาย ระบบเกียร์จึงใช้ธรรมดา 5 สปีด เร้าอารมณ์ไม่น้อยเมื่ออยู่หลังพวงมาลัย ระบบกันสะเทือนต้องยอมรับว่า alfa เน้นเป็นพิเศษกับการเกาะถนน รุ่นไหนรุ่นนั้นไว้ใจได้ ลงพวงมาลัยแบบrecirculating ball ระบบเบรกใช้แบบอิสระสองวงจรไขว้จัดการกับฝูงม้าพยศ ดดยมีหม้อลมเบรกและวาล์วปรับแรงดันน้ำมันเบรกที่ล้อห ลัง ประสิทธิภาพเบรกที่คิดตัวมาจึงไว้ใจได้แม้ว่าขณะนั้น ขะยังไม่รู้จัก ABS ก็เถอะ ดดยใช้บริการดิสก์เบรกทั้ง 4ล้อ
    ว่ากันไปความสะใจของบรรดาเซียน Alfa ร้อยทั้งร้อยปักใจหลงรักอยูกับเสียงคาร์บูเรเตอร์ดุด ไอดี และเสียงแผดก้องหวานๆของเครื่องยนต์ ซึ่งช่วยให้ลืมความเมื่อยเวลาเหยียบคลัตซ์ ตลอดจนค่าตัวและค่าอะไหล่ที่ไม่ใช่ถูกๆ

    รถคลาสสิค 10 อันดับรถที่ผู้หญิงขับแล้ว ผู้ชายชื่นชอบ

    ขอบคุณที่มาข้อมูลและรูป : นิตยสารรถวันนี้ ฉบับวันที่ 15-22 มกราคม 2551
    เมื่อพูดถึงผู้หญิงขับรถยนต์ ผู้ขับที่เป็นชายส่วนมากมักจะมีทศนะคติในแง่ลบ แต่ก็มีไม่น้อยที่ชื่นชม โดยเฉพาะเมื่อเธอผู้นั้นขับรถที่ดูหรู หรือเท่ มีเสน่ห์ให้ต้องเหลียวมอง

    เว็บไซด์ evencars.com ทำการสำรวจความคิดเห็น (โพล) ในหัวข้อ "ผู้หญิงขับ รถคลาสสิก คันไหนแล้วดูดีที่สุด"ซึ่งในเสียง ส่วนใหญ่เทคะแนนให้กับ เมอร์เซเดส-เบนซ์ SL โรดสเตอร์ (Mercedes-Benz SL Roadster) รุ่นปี 1960

    เบนซ์สปอร์ต รุ่นนี้ดูโฉบเฉี่ยวสุดๆเมื่อเปิดประทุน มีการผลิตระหว่างปี 1955 ถึง 1963 ยิ่งเป็นรถจากค่ายดาวสามแฉกด้วยแล้วยิ่งส่งให้ ผู้ขับขี่โดดเด่นเป็นเทพธิดาบนแดนดิน รถรุ่นนี้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันทั่วโลกก้เพราะ เกรซ เคลลี่ ซูปเปอร์สตาร์ฮอลลีวู้ด ขับมันมาฉากในภาพยนต์เรื่อง Hign Society และรถรุ่นนี้ก็ยังคงความงดงามอย่างเป็นเอกลักษณ์มาถึ งปัจจุบัน

    "เมอร์เซเดส SL โรดสเตอร์ เป็นรถยนต์ที่งดงามอย่างปฏิเสธไม่ได้ การซื้อรถรุ่นนี้สักคันหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย ทั้งยังเป็นการแสดงให้เห็น ว่าเจ้าของรถคันนี้มีฐานะดีและใช้เงินเป็นในการเลือก สิ่งดีๆให้กับชีวิต" อเลกซ์ เจนเนอร์-ฟัสต์ ผู้ทำโพล์นี้ออกความเห็นว่า

    สำหรับรถคันอื่นๆส่วนใหญ่ผู้ลงคะแนนจะให้ความสนใจกับ รถที่มีสมรรถนะดีเยี่ยม เครื่องยนต์แรงสูง ไม่ว่าจะเป็น ปอร์เช่ 911 (Porche 911) มิตซูบิชิ อีโว (Mistsubishi Evo) หรือ ซูบารุอิมเพรซ่า (Subaru Impreza)

    แต่ที่โดเด่นอย่างไม่น่าเชื่อ กลายเป็น แลนด์โรเวอร์ ดีเฟนเดอร์ (Land Rover Defender) ซึ่งเป็นรถคันโปรดของสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธแห่ง อังกฤษ หรือรุ่นใหม่ขึ้นมาหน่อยอย่าง เรนจ์โรเวอร์สปอร์ต (Range Rover Sport)

    "ผู้ชายที่เข้าโหวตชื่นชอบผู้หญิงที่ขับรถแรง แต่มีข้อแม้ว่าเธอต้องรู้จักบังคับมันให้ดีด้วย นั้นทำให้มีผู้โหวตให้แลนด์โรเวอร์ เพราะผู้หญิงคนใดที่ขับมันได้ สมควรได้รับคำชื่นชมว่าเป็นหญิงแกร่ง เป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งที่มองข้ามไม่ได้" เจนเนอร์-ฟัสต์ เสริม

    รถสปอร์ตที่นั่งเปิดประทุน ได้รับเสียงสนับสนุนค่อนข้างหนาแน่นไม่น้อย ยิ่งมาแปลกแหวกแนวอย่าง เคเตอร์แร่ม (Caterham) ยิ่งน่าสนใจจนมากขึ้น ติดทำเนียบท้อป-10 กับเขาด้วย ขณะเดียวกันข้ามไปอีกขั้วหนึ่งก็จะพบความแปลกที่น่าค ้นหาอีกแบบสำหรับสุภาพสตรีที่ขับรถสุดยอดหรูอย่าง โรลสรอยซ์แฟนทอม (Rolls-Royce Phantom) เพราะรถระดับนี้เธอควรจะเป็นผู้นั่งอย่างสง่า โดยมีสารถีประจำตัวขับให้เท่านั้น


    ส่วนรถยนต์เล็กๆสไตล์เก๋ ก็ไม่รอดสายตาไปได้เพราะมันเหมาะกับหญิงสาวที่ดูคล่อ งแคล่ว ซุกซนเล็กน้อยและน่าทะนุถนอม ไม่ว่าจะเป็น เฟียต 500(Fiat 500) หรือ โฟล์คกอล์ฟ R32 (VW Goft R32) Top Ten Chart รถที่ผู้หญิงขับ แล้วคุณผู้ชายให้ความชมชื่น
    • 1.เมอร์เซเดส-เบนซ์ SL โรดสเตอร์
    • 2.ปอร์เช่ 911
    • 3.มิตซูบิชิ อีโว
    • 4.แลนด์โรเวอร์ ดีเฟนเดอร์
    • 5.ซูบารุ อิมเพรซ่า
    • 6.โรลสรอยซ์ แฟนทอม
    • 7.เรนจ์โรเวอร์ สปอร์ต
    • 8.เฟียต 500
    • 9.โฟล์คกอล์ฟ R32
    • 10.เคเตอแร่ม

    Mercedes-Benz SL Roadster
    MG ปี 1964

    ขอขอบคุณที่มาข้อมูลและรูป : นิตยสารรถวันนี้ ฉบับวันที่ 30 มกราคม-6 กุมภาพันธ์ 2550

    ตัวอย่างภาพ ของ รถ MG รถโบราณในปัจจุบันเริ่มเป็นที่ต้องการมากขึ้นทุกที ราคาจึงถีบตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้การหารถมาขับสักคันสมัยนี้ยากขึ้น ยิ่ง MG ปี 1964 ที่มีรูปร่างด้านหน้าออกแบบคล้าย รถโรลสรอยซ์ ทรงสวย ยิ่งหายากมากขึ้น เพราะในเมืองไทยมีอยู่น้อยมาก แต่ใครมีไว้ในครอบครองต้องบอกว่าคุ้มค่าจริงๆ


    คนที่ได้เป็นเจ้าของครอบครองเจ้า MG ปี 1964 นั้นมีชื่อว่า คุณสุพจน์ อัพวานนท์ หรือ คุณแขก นักสะสม รถคลาสสิก ทั้ง รถอเมริกันและยุโรป โดยเจ้าตัวมี รถคลาสสิก อยู่ในครอบครองทั้งหมดถึง 6 คัน ถือว่ามีความรัก รถคลาสสิก อย่างแท้จริง เพราะทุกคันล้วนให้การดูแลรักษาเป็นอย่างดี แถมทะเบียนแต่ละคันไม่มีขาด ต่อภาษีตลอด และรถแต่ละคันก็อยู่ในสภาพสมบรูณ์มากซึ่งใครก็ตามที่ ได้เห็นรถแต่ละคันแล้วล้วนอยากได้กันจนน้ำลายไหล เจ้า MG คันงาม เป็นหนึ่งในรถที่คุณแขกรักมาก ได้มาเมื่อประมาณ6-7 ปีมาแล้ว โดยซื้อรถคันมาในราคา 60,000-70,000 บาท ตอนแรกที่ได้มา ลองเอามาขับเล่นดูสักพักเพื่อดูว่าเป็นอย่างไรซึ่งสุ ดท้ายก็ไปไม่รอดจึงยกเครื่องทำใหม่หมด ใช้เวลาอยู่ประมาณ 1 ปี โดยเริ่มต้นจากการทำเครื่องยนต์จากร้านแรกพอเสร็จแล้ วก็ส่งต่อไปร้านทำสี ซึ่งสีเดิมนั้นเป็นสีนำเงิน แล้วมาเปลี่ยนเป็นสีขาวนวล แต่ทางขนส่งบอกว่าให้จดทะเบียนเป็นสีเหลือง เสร็จจากทำสีส่งต่อไปยังร้านทำเบาะหุ้มหนังใหม่ทั้งค ัน แต่ยังเน้นรูปร่างเดิมของเบาะไวซ์ จากนั้นนำกระจังหน้าไปชุบโครเมียมใหม่ให้เงางาม ตอนแรกไปดูกระจังหน้าใหม่ที่ซอยวัชรพล ขายในราคา 5,000 บาท เลยไม่เอา ใช้ของเดิมดีกว่า ส่วนล้อก็ใช้ล้อเดิม ขนาด 12 นิ้ว แต่เปลี่ยนยางใหม่เท่านั้น

    สำหรับช่วงล่างเปลี่ยนลูกหมากใหม่หมด โดยระบบของช่วงล่างเป็นระบบไฮดรอลิกปั๊มลมทั้ง 4 ล้อ ซึ่งกระปุกไฮดรอลิกนั้นจะอัดลมเพื่อช่วยรักษาการทรงต ัว ถ้ารู้สึกว่าช่วงล่างนิ่มเกินไปก็อัดลมเพิ่ม ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเทคโนโลยีเมื่อ 43 ปีที่แล้ว พร้อมกันนั้นระบบเบรกก็เป็นแบบหน้าดิสก์หลังดรัม และที่สำคัญรถคันนี้ใข้ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า ส่งผลให้แตกต่างจากรถโบราณทั่งไปสิ้นเชิง

    ระบบส่งกำลังเป็นแบบธรรมดา 4 สปีด เดินหน้า สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 100กม./ชม. และส่วนที่ชอบมากที่สุดที่คุณแขกเล่าให้ฟังคือ กระจังหน้าและกระโปรงด้านหน้าออกแบบเหมือน รถโรลสรอย์ บวกกับคิ้วข้างรับกับการดีไซน์ของรถ ไล่ระดับได้อย่างสวยงาม อีกทั้งไฟท้ายคือเรือนไมล์ที่บอกความเร็วเหมือนหน้าป ัดวิทยุสมัยก่อน คือเมื่อความเร็วเพิ่มขึ้น จะมีเข็มวิ่งเป็นเส้นตรงจากด้านซ้ายไปด้านขวาตามระดั บความเร็วที่เหยียบขึ้นไป การดีไซน์นี้ถือว่าไม่มีใครเหมือน แถมเด่นด้วยความทันสมัยลงตัว

    คุณแขกบอกว่ารถคันนี้นำมาใช้งานแบบอาทิตย์ละครั้ง เพื่อให้เครื่องยนต์ไม่โทรม และบำรุงรักษาอย่างดี เคยมีคนมาขอซื้อต่อหลายครั้งแต่คุณแขกบอกว่าอย่างไรก ็ไม่ขายให้ใครเด็ดขาดเนื่องด้วยชอบรถคันนี้มากจะเก็ย ไว้ใช้งานแบบนี้ไปเรื่อยไป นอกจากนี้คุณแขกยังมีอะไหล่จากญี่ปุ่น เป็นอะไหล่ของ Volkswagen รุ่น Karmann โดยมีทั้งป้ายโลโก้ นาฬิกา เรือนไมล์วัดความเร็ว เรือนไมล์วัดรอบ สนใจติดต่อหาคุณแขกได้ที่ โทร.08-1632-1402

    ไทรอัมพ์ SX (Triumph SX) สปอร์ตพวงมาลัยขวา

    ขอขอบคุณที่มาข้อมูลและรูป : นิตยสารรถวันนี้ วันที่30 มกราคม-6 กุมภาพันธ์ เมื่อกล่าวถึงรถสปอร์ต ไทรอัมพ์ (Triumph) ยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 หลายคนจะรู้จักเป็นอย่างดี เพราะรถจากเมืองโคเวนทรีหลายรุ่นหลายแบบเป็นที่นิยม และเป็น รถระดับคลาสสิก มาถึงปัจจุบัน แต่หากย้อนไปช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 แทบจะไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของไทรอัมพ์เลย

    อันที่จริง ไทรอัมพ์มีรถดีๆอยู่พอสมควรระหว่างทศวรรษ 1930 แต่พวกเขาผลิตพวงมาลัยขวาเท่านั้น จึงไม่สามารถแพร่ออกสู่ตลาดใหญ่ทั้งในยุโรปและอเมริก าได้

    หนึ่งในรถสปร์ตพวงมาลัยขวาที่เป็นความภูมิใจเงียบๆขอ ง ไทรอัมพ์ ก็ คือ ไทรอัมพ์ เซาเธิร์นครอส (Triumph Southern Cross)หรือที่เรียกกันง่ายๆว่าไทรอัมพ์ SX

    ไทรอัมพ์ เซาเธิร์นครอส ตั้งตามชื่อของหมู่ดาวกางเขนใต้ มีระยะเวลาผลิตจำหน่ายระหว่างปี 1932-1937 เป็นตัวชูโรงของไทรอัมพ์ในยุคนั้น เนื่องจากประสบความสำเร็จในรายการประชันความเร็ว ใหญ่ๆหลายรายการ ไม่ว่าจะเป็น อัลไพน์ เทรล หรือ มอนติคาร์โล แรลลี่

    SX รุ่นแรก เป็นรถสปอร์ตทัวเรอร์ 4 ที่นั่ง มีพื้นฐานมาจากรุ่นพี่คือ ไทรอัมพ์ซูเปอร์ 9 และซูเปอร์ 10 ใช้เครื่องยนต์โคเวนทรี ไคลแมกซ์ 4 สูบ ความจุกระบอกสูบ 1122 ซี.ซี. พอถึงปี 1934 พวกเขาก็เปิดตัว ไทอัมพ์ กลอเรีย (Triumph Gloria SX) ออกแบบโดย วอลเตอร์ เบลโกรฟ เริ่มต้นจากสปอร์ต 4 ที่นั่ง แล้วปรับเปลี่ยนเป็น 2 ที่นั่งในปี 1935

    โดนัลด์ ฮีลีย์ (Donald Healey)ผู้อำนวยจการด้านเทคนิคของไทรอัมพ์ยยุคนั้น ตัดสินใจ ส่ง Gloria SX ลงแข่งขันรายการมอนติคาร์โล แรลลี่ ปี 1935 ผลคือคว้าแชมป์รุ่นของตนเอง และเป็นที่สองด้านเวลารวม

    ไทรอัมพ์ กลอเรีย SX จัดเป็นรถที่ทันสมัยมากหากพูดกันด้านเทคนิค ใช้ไฮดรอลิกดรัมเบรก ของล็อกฮีด ใช้ระบบไฟฟ้า 12 โวลต์ และมีโช้กอัพที่ปรับแต่งได้ตามความเหมาะสม เครื่องยนต์ 4 สูบ 1122 ซี.ซี.พอถึงปี 1934 พวกเขาก็เปิดตัว ไทรอัมพ์ กลอเรีย (Triumph Gloria SX)ออกแบบโดย วอลเตอร์ เบลโกรฟ เริ่มต้นจากสปอร์ต 4 ที่นั่ง แล้วปรับเปลี่ยนเป็น 2 ที่นั่งในปี 1935

    ไทรอัมพ์ กลอเรีย SX จัดเป็นรถที่นำสมัยหากพูดกันด้านเทคนิค ใช้ไฮดรอลิกดรัมเบรก ของล็อกฮีด ใช้ระบบไฟฟ้า 12 โวลต์ และมีโช้กอัพที่ปรับแต่งได้ตามความเหมาะสม เครื่องยนต์ 4 สูบของไคลแมกซ์ ถูกเพิ่มความจุเป็น 1232 ซี.ซี.และมีเวอร์ชั่นเครื่องยนต์ 6 สูบ 1476 ซี.ซี.เพิ่มเติมขึ้นมาภายหลัง ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 120 กิโลเมตรรต่อชม. (130 กม./ชม.สำหรับเวอร์ชั่น 6 สูบ)

    ปี 1936 ไทรอัมพ์ กลอเรีย SX ลงแข่งขันรายการมอนติคาร์โล แรลลี่อีกครั้งคราวนี้ได้รองแชมป์สำหรับรุ่นรถขนาดเบ าอีกครั้งคราวนี้ได้รองแชมป์สำหรับรุ่นรถขนาดเบาอีกค ันหนึ่งได้ที่ 3 สำหรับ ladies cup กลางปีนั้นเอง ฮีลีย์ ได้เปิดตัว SX อีกถึง 3เวอร์ชั่น ติดตั้งเครื่องยนต์ 4 สูบ 2แบบ และ 6 สูบอีก 1 แบบ โดยเครื่องยนต์ที่ใช้เป็นเครื่องยนต์ที่ใช้เป็นเครื่ องยนต์แบบใหม่แบบ OHV ที่เบากว่าและแรงกว่าเดิม และประกาศว่า SXที่ปรับปรุงนี้พร้อมจำหน่ายในปี 1937 จะเป็นปีสุดท้ายของไทรอัมพ์ SX เนื่องจากมีปัญหาด้านการขยายตลาด

    คาดว่าไทรอัมพ์ กลอเรีย SX จะถูกผลิตออกมาทั้งสิ้นไม่เกิน 200 คัน และมีเพียงไม่กี่คันที่หลงเหลืออยู่ในสภาพดีในปัจจุบ ัน

    แม้รถพวงมาลัยขวา รุ่นนี้จะถูกคนส่วนใหญ่ลืมไป แต่ที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ ไทรอัมพ์ เซาเธิร์นครอส เป็นบรรพบุรุษที่บุกเบิกเส้นทางสู่ความสำเร็จที่สูงไ ปกับไทรอัมพ์รุ่นต่อๆมา โดยเฉพาะไทรอัมพ์TR ซี่รีส์ต่างๆ


    Triumph Southern Cross
    Humber Super Snipe ความสูญเสียของอังกฤษ

    ขอขอบคุณที่มาข้อมูลและรูป : นิตยสารรถวันนี้ วันที่3-10 เมษายน 2550
    ไม่น่าเชื่อว่าภายในระยะเวลาเพียงชั่วอายุคนเดียว โรงงานผลิตรถยนต์ของอังกฤษแห่งหนึ่งจะต้องแปรสภาพจาก ความโด่งดังมาเป็นเกือบจะไม่เหลืออะไรเลย

    บริษัทดังกล่าวได้แก่ ฮัมเบอร์(Humber) ซึ่งเคยผลิตรถยนต์ชั้นดีออกมาไม่น้อย แต่กลับต้องพบกับชะตากรรมอันโหดร้าย

    Humberคือรถที่ได้รับความนิยมสูงในช่วงสงครามโลกครั้ งที่ 2 กษัตริย์จอร์จ ที่ 6 และนายกรัฐมนตรีวินสตันเชอร์ชิล ต่างมีรถยนต์ยี่ห้อนี้ในครอบครอง


    Humber รถที่ได้รับความนิยมสูงในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นของ Humber ในช่วงสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สองก็คือ Super Snipe และญาติของมันคือ Pullman

    Humber Super Snipe ติดตั้งเครื่องยนต์ 6 สูบเรียง ความจุ 4086 ซี.ซี. เครื่องยนต์ดังกล่าวยังเป็นแบบเก่า คือมีวาล์ว อยู่ด้านข้าง ให้กำลังสูงสุด 100 แรงม้าที่ 3,400 รอบ/นาที ความเร็วสูงสุด 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

    Super Snipe ไม่ใช่รถสปอร์ต เป็นรถเก๋งซาลูน 4 ประตู 4 ที่นั่ง ซึ่งมีส่วนผสมระหว่างความแข็งแกร่งของตัวถัง กับความทนทานของเครื่องยนต์ ส่วนผสมดังกล่าวช่วยให้คว้าตำแหน่งรองแชมป์รุ่นโอเวอ ร์ออล ในการแข่งขันมอนติคาร์โล แรลลี่ ปี 1950 ช่วยสร้างชื่อให้กับรถรุ่นนี้เป็นอย่างมาก

    ตั้งแต่ปี 1952 Humber ปรับรูปลักษณ์ให้ทันสมัยขึ้น และดูกระเดียดไปทางรถอเมริกันมากกว่าเดิม เช่น กระจัง หน้าที่ขยายกว้างออกไปเต็มความกว้างของตัวถัง หรือกันชนที่ชุบโครเมียมมันวาว Super Snipe ยืนยงอยู่ในตลาดรถยนต์ยาวนานถึงปี 1967 โดยมีการรถยนต์ยาวนานถึงปี 1967 โดยมีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาครื่องยนต์ โดยความจุของกระบอกสูบไล่มา ตั้งแต่ 2655 ซี.ซี. 2731 ซี.ซี. 2965 ซี.ซี. ไปจนถึงเครื่องยนต์ขนาดเกินกว่า 4000 ซี.ซี.ก่อนจะหายหน้าไปอย่างไม่มีวันกลับ พร้อมๆกับชื่อของ Humber

    สาเหตุที่ความยิ่งใหญ่ของHumber ต้องกลายเป็นอดีตก็คือเรื่องของการตลาด เนื่องจากขณะนั้นรถยนต์จากต่างประเทศไม่ว่าจะเป็นประ เทศเยอรมันนี ฝรั่งเศส หรืออิตาลี ต่างพยายามเข้ามาทำการตลาดในเมืองผู้ดี และดูเหมือนว่าชาวอังกฤษจะมีใจต้อนรับรถยนต์ต่างแดนอ ยู่ไม่น้อย ส่งผลให้พิ้นเมืองเริ่มถูกมองข้าม

    Humberพยายามปรับเปลี่ยนหลายอย่างเพื่อรับมือกับการร ุกรานจากต่างชาติ แต่กลับเป็นความผิดพลาดเพราะพวกเขาสูญเสีบความเป็นเอ กลักษณ์เฉพาะตัวซึ่งเป็นจุดขายสำคัญปัญหาภายในบริษัท คือเรื่องการเงินจึงประดังเข้ามาจนแบกรับภาระหนี้สิน เอาไว้ไม่ได้

    การตายจากของHumber จึงถือเป็นการสูญเสียครั้งหนึ่งของวงการรถอังกฤษ

    Cadillac V8 รถหรูในช่วงข้าวยากหมากแพง

    ขอขอบคุณที่มาข้อมูลและรูป : นิตยสาร รถวันนี้ ปีที่ 8 ฉบับที่ 365 คาดิลแลค (Cadillac) คือรถยนต์ชั้นหรูของ General Motors-GM ค่ายรถยนต์ระดับยักษ์ใหญ่ ของสหรัฐ ส่วนใหญ่จำหน่ายอยู่ภายในสหรัฐเองและในแคนาดา โดยในสหรัฐคำว่า Cadillac ถูกนิยามให้ใกล้เคียงกับคำว่า high quality ความโดดเด่นของคาดิลแลค ทำให้รถยนต์ยี่ห้อนี้อยู่ยืนยงกับ GM มาตั้งแต่ปี 1909 จนถึงปัจจุบันเกือบครบ 1 ศตวรรษ

    จากสายการผลิตอันยาวนานคาดิลแลคจึงถูกผลิตออกมาหลายร ุ่นหลากรูปแบบ เราจะเจาะเอาเพียง ช่วงทศวรรษ 1920 และ 1930

    ช่วงระหว่างหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 และก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ขณะที่เศรษฐกิจของสหรัฐอ่อนตัว คาดิลแลคหวังจะจับตลาดรถหรู โดยแนะนำรถยนต์ติดตั้งเครื่อง V16 บี ซีรี่ส์ 452 แต่ก็ไม่ประสบคสามสำเร็จเท่าที่ควร นอกจากนี้ ยังลดหลั่นระดับความหรูของรถลงมาที่รถเครื่องยนต์ 12 สูบ และ 8 สูบด้วย

    หลังจากผ่านไประยะหนึ่ง พวกเขาจึงรู้ว่าเครื่องยนต์ที่เหมาะสมที่สุดในช่วงเว ลาดังกล่าวก็คือเครื่องยนต์ V8 เป็นพื้นฐานสำหรับสินค้าหลาย ๆ รุ่นในยุคนั้น

    คาดิลแลคเครื่องยนต์ 8 สูบ ซีรี่ส์ 355 ของปี 1931 เป็นรถใหญ่ ฐานล้อ 134 นิ้ว (11 ฟุต 2 นิ้ว) ดูคล้ายคลึงกับ รุ่นก่อนหน้านั้นคือซีรี่ส์ 353 ตัวรถมีการออกแบบตัวถังให้โหลดต่ำลง ไฟหน้าเล็กลงกว่าเดิมเล็กน้อย

    จะเห็นว่าเครื่องยนต์ยังไม่เปลี่ยนแปลง แต่รูปลักษณ์เปลี่ยนใหม่ มีการเพิ่มสไตล์ตัวถังทั้งซาลูนและคูเป้ เช่นเดียวกัน รถฟลีตวู้ดของ GM ที่ออกมา 6 ปีก่อนหน้านี้ ซึ่งมีให้เลือกทั้งเวอร์ชั่น 4 ประตูและเวอร์ชั่นสปอร์ต

    เครื่องยนต์ V8 L-เฮด ซีรี่ส์ 355 ของคาดิลแลค ปี 1931 ให้กำลังสูงสุด 95 แรงม้า ใช้เกียร์ 3 สปีด กันสะเทือนทั้งหน้า/หลังเป็นแหนบแบบเซมิ-เอลลิปติก ราคาขาย 170,500 เหรียญ ไม่ถือว่าแพงจนเกินไปเมื่อเทียบกับ สิ่งที่พวกเขามอบให้กับลูกค้า


    Imperia ความภูมิใจของเบลเยี่ยม

    ขอขอบคุณที่มาข้อมูลและรูป : นิตยสาร รถวันนี้ ปีที่ 8 ฉบับที่ 359 ประเทศเบลเยียมเป็นเพียงประเทศเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในยุโรป ศักยภาพในด้านต่าง ๆ มีจำกัด แต่พวกเขาก็ยังสามารถผลิตรถยนต์ของตัวเองออกมาใช้ได้ โดยเฉพาะรถยนต์ยี่ห้อ อิมพีเรีย (Imperia) จัดว่าเป็นความภาคภูมิใจของชาวเบลเยียมก็ว่าได้

    คนยุคปัจจุบันอาจจะลืมชื่ออิมพีเรียไปแล้ว อย่างไรก็ตามสิ่งที่บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ก็คือ อิมพีเรีย เป็นบริษัทรถยนต์ ของเบลเยียม ที่ยืนหยัดอยู่ในตลาดรถยนต์ได้ยาวนานที่สุด ก่อนจะต้องปิดกิจการไป อิมพีเรียก่อตั้งขึ้นในปี 1906 ที่เมืองลีแอช โดยอาเดรียน เพียดเบิฟ ซึ่งเลือกเอามงกุฎของจักพรรดิชาร์ลมาญมาเป็นสัญลักษณ ์ ในช่วงแรกก็ผลิตรถตลาด สไตล์การออกแบบก็ธรรมดา ๆ จนกระทั่งได้ พอลเฮนเซ่ วิศวกรชาวดอยช์มาช่วยสร้างสีสันและพัฒนาคุณภาพ

    ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นในปี 1920 เมื่อมาติเยอ ฟาน ร็อกเกน (Mathieu van Roggen) นักธุรกิจไฟแรงเข้ามาครอบครองกิจการ เขาคือกุญแจสำคัญสำหรับการอยู่รอดของอิมพีเรีย

    ฟาน ร็อกเกน นำบริษัทสู่ทิศทางใหม่ในปี 1923 เมื่อว่าจ้างอาโนลด์ คูชาร์ด มาออกแบบ และพัฒนารถเล็ก ราคาย่อมเยาว์ออกมาตีตลาด โดยคูชาร์ดออกแบบเครื่องยนต์ขนาดย่อมออกมา 2 แบบคือ 6CV และ 7CV โดยแบบ 6CV ดูจะมีประสิทธิภาพดีกว่าและถูกนำไปติดตั้งให้รถยนต์อ ิมพีเรียไปจนถึงช่วงทศวรรษ 1930 ยอดขายของอิมพีเรีย ช่วงนี้ก็พุ่งกระฉูดกว่าเดิม นั่นคือ เฉลี่ยปีละ 500 คัน ส่งผลให้อิมพีเรียคือค่ายรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ ่งของเบลเยียม มีคู่แข่งสำคัญคือ มิเนอร์วา กับ FN

    ดวงของ อิมพีเรีย เริ่มตกในช่วงทศวรรษ 1930 เมื่อเกิดวิกฤตรุมเร้า ทั้งเรื่องรถรุ่นเก่าที่เริ่มล้าสมัย และคู่แข่งจาก ต่างแดนที่มีราคาถูกกว่าจากกำลังการผลิตที่สูงกว่าช่ วยให้ลดต้นทุน ฟาน ร็อกเกน ทราบว่าเขาต้องเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ เพื่อกระตุ้นตลาด เขาจึงเดินหมากตาใหม่ด้วยการหันไปหาความช่วยเหลือจาก บริษัท อัดเลอร์ (Adler) ของเยอรมนี ทำให้ได้รถยนต์แบบใหม่ขับเคลื่อนล้อหน้าออกสู่ตลาดเย อรมนี ในปี 1932 ชื่อ Adler Trumpf แล้วค่อยนำเข้ามา เบลเยียมเปลี่ยนชื่อเป็น Imperia Trumpf โดยรถยนต์รุ่นที่มีชื่อเสียงของอิมพีเรียในยุคนั้นได ้แก่ TA-7 Alouette และ TA-11 Jupiter

    ปี 1935 บริษัทรถหรูอย่างมิเนอร์วาก็ไปไม่รอด ต้องขายกิจการให้กับ ฟาน ร็อกเกน ทำให้อิมพีเรียกลายเป็นบริษัท ผลิตรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในเบลเยียม แต่ความพยายามของฟาน ร็อกเกน ที่จะประคองสถานการณ์ของบริษัททำได้เพียงระยะเวลาหนึ ่งเท่านั้น การที่เบลเยียมมีตลาดเล็กทำให้ไม่สามารถต่อกรกับยักษ ์ใหญ่จากอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี หรือ อิตาลีได้

    สงครามโลกครั้งที่ 2 ในช่วงปลายทศวรรษ 1930 จนถึงกลางทศวรรษ 1940 ยิ่งทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลง แล้วอิมพีเรียก็ก้าวสู่ช่วงสุดท้ายด้วยการผลิตรถรุ่น TA-8 ในปี 1947 ซึ่งเป็นรถเปิดประทุนเน้นความเป็นสปอร์ตมากขึ้น กว่าช่วงก่อนสงครามโลก ติดตั้งเครื่องยนต์ 4 สูบ โอเวอร์เฮดวาล์ว ซึ่งถือว่าทันสมัย ความจุกระบอกสูบ 1340 ซี.ซี. แต่กลับต้องใช้ช่วงล่างที่มีคุณภาพต่ำลงเพราะปัญหากา รเงิน

    หลังจากผลิต TA-8 ออกจำหน่ายได้ราว 1,000 คัน อิมพีเรียก็ต้องประกาศยุติการผลิตไปในปี 1949 (ทำเพียงการเป็นตัวแทนจำหน่ายให้รถนำเข้ายี่ห้ออื่นร วมทั้งมอเตอร์ไซค์ยี่ห้ออัดเลอร์) และปิดกิจการ อย่างสิ้นเชิงในปี 1958

    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย danwin999 : 23-09-2009 เมื่อ 17:35
    AM A VEGAN AND GREEN - SAVE THE WORLD
    ชมรมอนุรักษ์รถโบราณตรัง (ศรีตรัง ClassicClub)
    คลิ๊กที่นี่ www.thaiscooter.com/club/sritrang

  5. #5

    มาตรฐาน

    ความรู้ทั้งนั้น เยี่ยมเลยครับ /\2

  6. #6
    Member doramon12's Avatar
    วันที่สมัคร
    May 2007
    สถานที่
    tragzone
    ข้อความ
    160
    ขอบคุณ
    0
    ได้รับขอบคุณ 0 ครั้ง ใน 0 ข้อความ
    ผลการให้คะแนน
    17

    มาตรฐาน ของดีทั้งนั้น

    ความรู้ล้วนๆๆๆๆๆเลยพี่น้องครับอ่านกันบ้าง นะ













    รูป รูป  

  7. #7
    Senior Member danwin999's Avatar
    วันที่สมัคร
    May 2008
    สถานที่
    ศรีตรัง Classic Club
    ข้อความ
    664
    ขอบคุณ
    0
    ได้รับขอบคุณ 0 ครั้ง ใน 0 ข้อความ
    ผลการให้คะแนน
    16

    มาตรฐาน

    รถคันแรกของโลก ที่ใช้เครื่องยนต์ รถยนต์คันแรกของโลก

    Mercedes Benz Motorwagen ปี 1886 รถยนต์คันแรกของโลก
    Mercedes Benz Motorwagen รถยนต์ 3 ล้อคันแรกของโลก ปี 1886 ยี่ห้อ Franklin Mint scale 1/8 ผมพึ่งได้มาครับรายละเอียดเหมือนจริง โซ่สายพานต่างๆหมุนได้ ที่พักขาทำจากไม้จริงๆ เบาะหนังแท้ ใครสนใจเชิญที่รเน collector world Siam discoveryมาดูหน้าตารถยนต์คันแรกของโลกกันครับ!!!!!

    คาร์ล เบนซ์ เป็นผู้ให้กำเนิดรถยนตร์คันแรกของโลก

    คาร์ล เบนซ์ พัฒนารถยนต์ 3 ล้อ ซึ่งต่อมาได้รับการรับรองว่าเป็น "รถยนต์" ที่แท้จริงคันแรกปรากฏต่อสาธารณชน จากประสบการณ์และความชื่นชอบในจักรยาน เขาใช้เทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันกับการสร้างจักรยานเพ ื่อสร้างรถยนต์ที่มีเครื่องยนต์ 4 จังหวะที่ออกแบบให้อยู่ระหว่างล้อหลังทั้งสองล้อ

    โดยเขาได้ทดลองใช้กับรถสามล้อนับเป็นรถยนตร์ที่ขับเค ลื่อนด้วยเครื่องยนต์สันดาปภายในคันแรกของโลก รถ 3 ล้อ ของเบนซ์ เป็นรถยนตร์ที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงเพื่อขับเคลื่ อนเครื่องยนต์ เขาสร้างเจ้าสิ่งประดิษฐ์ชิ้นนี้เสร็จสิ้นในปี ค.ศ. 1885 และเรียกมันว่า “Benz Patent Motorwagen” ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่เรียกว่า “รถยนตร์” อย่างแท้จริง ดังนั้น จึงมีหลายคนถือว่า คาร์ล เบนซ์ เป็นผู้คิดค้นรถยนตร์ได้เป็นผลสำเร็จ และรถยนตร์คันแรกของโลกซึ่งมี 3 ล้อ





    ประวัติความเป็นมาของ Volkswagenหรือเจ้าเต่าทอง

    ขอขอบคุณที่มาภาพและบทความ : www.vwshowtime.com

    จุดกำเนิดของvolkswagen เริ่มต้นตั้งแต่ที่ ย้อนหลังเมื่อประมาณปี 1930 ในยุคที่โลกของเราอยู่ในสภาวะวิกฤต คือ ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศเยอรมัน ในฐานะเป็นผู้นำกลุ่มอักษะ ได้ใช้ยุทธวิธีทั้งกำลังพลและกำลังอาวุธที่มากด้วยปร ะสิทธิภาพ แล้วส่งไปตามจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญทั่วภูมิภาค เพื่อหวังจะยึดครองโลกหนึ่งในบรรดาจุดยุทธศาสตร์ที่ส ำคัญนั้นเป็นพื้นที่ทะเลทราย ซึ่งต้องอาศัยพาหนะที่ใด้อย่างเหมาะสมกับทุกสภาพ...
    อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้นำสงครามฝ่ายอักษะ ได้สั่งให้ ดร.นอร์ท โฮป ร่วมกับวิศวกรชาวเยอรมันอีกท่าน คือ ดร.เฟอร์ดินัน ปอร์เช่ ผู้ออกแบบรถปอร์เช่ ให้ร่วมกันออกแบบรถเพื่อใช้เป็นยานพาหนะในการทำศึกสง ครามกลางทะเลทราย และรถคันนั้นก้อคือ รถโฟล์กสวาเก้น หรือเจ้าเต่าทองนั่นเอง และ ณ จุดนี้เอง ที่รถโฟล์กสวาเกนกำหนดขึ้น
    ในปี 1938 รถโฟล์กคันแรกถูกผลิตออกมาให้ประชาชนได้ใช้งานกันอย่ างจริงจังด้วยคำสั่งของฮิตเลอร์ที่ว่า ต้องเป็นรถของประชาชนตามชื่อของรถ เพราะคำว่าVolk ในภาษาเยอรมัน แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า ประชาชน ส่วนคำว่า wagen นั้นแปลว่า รถยนต์ ดังนั้น รถโฟล์กคันนี้จะต้องเป็นรถที่จุคนได้ 4-5 คน ต้องกินน้ำมันน้อยต้องทนทานได้นานที่สุด ต้องวิ่งเร็วพอสมควร และที่สำคัญที่สุดต้องราคาถูกด้วย
    สำหรับต้นกำเนิดโฟล์กสวาเกนในเมืองไทย ผู้บุกเบิกเป็นคนแรก คือ หม่อมเจ้าปิยะรังสิต รังสิต ได้เดินทางไปศึกษาเล่าเรียนที่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ และได้เดินทางไปเยี่ยมน้องชาย คือ หม่อมเจ้าสนิทประยูรศักดิ์ รังสิต ซึ่งไปเรียนต่อที่ประเทศเยอรมัน ณ ที่นั่น ท่านได้มีโอกาศรู้จักกับดร.นอร์ท โฮป ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานบริษัทโฟล์ค ก้อได้มีการพูดคุยกัน และได้ปรึกษาหารือกับท่านว่า ให้ท่านเป็นตัวแทนจำหน่ายรถโฟล์กในประเทศไทย เพราะตอนนั้นยังไม่มีการนำรถโฟล์กในประเทศไทย เป็นรายแรกทั้งๆที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์ในการขายรถม าก่อน
    ปี 1953 หรือ พ.ศ. 2496 บริษัท ประชายนต์ จำกัด จึงได้ถือกำเนิดขึ้นมา และที่มาของบริษัทนี้ มาจากรากศัพท์ของคำว่า Volk และ Wagen ที่แปลว่า รถของประชาชนนั่นเอง เมื่อแรกเริ่มของธุรกิจขายรถนั้น ท่านได้ร่วมบริหารงานกับหม่อมเจ้าสนิทประยูรศักดิ์ รังสิตผู้เป็นน้องชาย จากกิจการที่ไม่ใหญ่โตนัก มีเพียงรถโฟล์ค จากนั้นจึงเริ่มขยายกิจการ โดยได้นำเข้ารถยนต์เเพิ่มขึ้นอย่างเช่น Audi,BMW,Mercedez benz และ Porsche โดยพื้นที่ตั้งของสำนักงานอยู่ที่หัวมุมถนนหลวง ตรงข้ามวัดเทพศิรินทราวาส จนสุดถนนด้านแยกพลับพลาชัย และในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ท่านพ่อได้มีการขยายกิจการจัดตั้งบริษัท ประมวลธุรกิจ จำกัด ขึ้นอีกแห่ง ซึ่งยังคงดำเนินกิจการ ขายรถยนต์เช่นกัน รวมถึงการจัดตั้งตัวแทนจำหน่าย ไปยังจังหวัดใหญ่ๆ ของแต่ละภูมิภาค จนในที่สุด ได้มีการขยายกิจการไปถึงประเทศลาว
    ในช่วงต้นของการบุกเบิกธรุกิจ เป็นช่วงที่ทำตลาดได้ดีมาก แต่พอช่วงปี 1972 ชื่อบริษัท ประชายนต์ จำกัด ได้หายไปจากวงการรถยนต์ อันเนื่องมาจากปัญหาภายในบริษัท จึงได้มีการเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท อู่นพวงศ์(2517) จำกัด และเปลี่ยนรูปแบบการให้บริการมาเป็นอู่ซ่อมรถ และรับตรวจสภาพรถโฟล์กที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ณ ช่วงเวลานั้น โดยหม่อมเจ้าปิยะรังสิต รังสิตยังคงเป็นผู้บริหาร
    หลังจากที่ดำเนินธุรกิจอู่ซ่อมรถภายใต้ชื่อ บริษัท อู่นพวงศ์(2517) จำกัด จนถึงปี 2533 องค์ท่านถึงแก่ชีพิตักษัย ลูกชายคนเดียวของท่านจึงได้เข้ามารับช่วงต่อ โดยยังคงแนวทางการดำเนินธุรกิจ ให้เหมือนสมัยที่ท่านสร้างไว้ คือให้บริการซ่อมและตรวจสภาพรถโฟล์กทุกรุ่น แต่ได้เปลี่ยนชื่อบริษัทมาเป็น Showtime VW และได้เพิ่มบริการอีกแขนงคือ รับตกแต่งรถโฟล์ก ให้มีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้งมีผู้เคยถามท่านว่า จะทรงเกษียณอายุเมื่อใด ท่านรับสั่งว่า"คิดว่าเมื่อสิ้นชีวิต เพราะจะทำไปตลอดจนกว่าจะหมดความสามารถที่จะทำ"
    หม่อมเจ้าปิยะรังสิต รังสิต ประสูติ ณ วังไม้ เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2456 ตรงกับวันพฤหัสบดี แรม 13 ค่ำ เดือนอ้าย เวลา 6.35 นาฬิกา ทรงเป็นโอรสพระองค์ใหญ่ในสมเด็จพระบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร (พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ ราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเจ้าจอมมารดาหม่อมราชวงศ์เนื่อง สนิทวงศ์) และหม่อมเอลิซาเบธ รังสิต ณ อยุธยา ทรงมีอนุชา 1 องค์ และขนิษฐา 1 องค์ คือหม่อมเจ้าสนิทประยูรศักดิ์ และหม่อมเจ้าจารุลักษณ์กัลยาณทรงอภิเสกสมรสกับหม่อมร าชวงศ์ผ่องลักษณ์ ทองใหญ่ ทรงมีธิดา 1 คน คือหม่อมราชวงศ์เยาวลักษณ์ทรงรับพระราชทานเสกสมรสกับ หม่อมเจ้าวิภาวดี รัชนี (พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าวิภาวดีรังสิต)ทรงมีธิดา 2 คน คือ หม่อมราชวงศ์วิภานันท์ และหม่อมราชวงศ์ปรียานันทนายังทรงมีบุตรกับ บุญพิทักษ์ แสงฤิทธิ์(หม่อมพิทักษ์) คือ หม่อมราชวงศ์ประทักษ์ หม่อมเจ้าปิยะรังสิต รังสิต ถึงชีพิตักษัยด้วยพระหทัยวาย ณ เชียงหใม่ เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2533 ตรงกับวันพฤหัสบดี ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 3 ปีมะเมีย เวลา 0.20 นาฬิกา ชนมายุ 76 ปี เดือน 6วัน


    แพคการ์ด (Packard) คืออดีตรถยนต์หรูของสหรัฐอเมริกา ซึ่งในช่วงต้นผลิตโดย Packard Motor Car Company แห่งดีทรอยต์ มิชิแกน และต่อมาเป็นผลงานของ Studebaker-Packard Corporation แห่งเซาธ์เนด์ อินดีแอนา ภายใต้สโลแกน "ลองถามคนที่ซื้อไปแล้วซิคะ"

    รถยนต์ Packard คันแรก ผลิตสำเร็จเป็นรูปเป็นร่างในปี ค.ศ.1899 และมีจุดจบในปี ค.ศ.1958 โดยหลังจากที่ยุติการผลิต ไปแล้ว รถยนต์ Packard กลายเป็นรถคลาศสิคที่แฟนรถยนต์รุ่นใหม่หลายรายต้องกา รได้ไปครอบครอง

    Packard ถือกำเนิดขึ้นที่เมืองวอร์เรน โอไฮโอ โดยพี่น้องตระกูลแพคการ์ด คือ เจมส์วอร์ด แพคการ์ด (James Ward Packard) กับ วิลเลี่ยม เดาด์ แพคการ์ด (William Doud Packard) ร่วมด้วยหุ้นส่วนอีกคนหนึ่งคือ จอร์จ ลูอิส ไวส์ (George Lewis Weiss)

    ไวส์มีรถยนต์ Winton อยู่คันหนึ่ง และรถยนต์คันนี้คือแรงบันดาลใจสำหรับวิศวกรเครื่องยน ต์อย่างเจมส์วอร์ด ซึ่งเชื่อว่าเขาจะสร้างรถยนต์ที่ดีกว่า Winton คันดังกล่าวได้

    ปี 1899 เจมส์ วอร์ดและพวกก็ก่อตั้งบริษัทที่ชื่อว่า Ohio Automobile Company ขึ้นมาพร้อมทั้งผลิตรถยนต์ คันแรกของบริษัทออกจำหน่ายด้วย โดยรถยนต์ของพวกเขาเป็นรถรูปแบบใหม่สำหรับยุคนั้น มีการออกแบบใหม่ ๆ หลายอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของพวงมาลัย จากนั้นอีกหลายปีก็ผลิตเครื่องยนต์ 12 สูบเครื่องแรกออกมาจำหน่าย

    จุดยืนของ Ohio Automobile Company ก็คือผลิตรถ Packard ให้เป็นรถหรูสำหรับผู้มีอันจะกิน และบุคคลระดับผู้นำ ซึ่งมีเงินเหลือเฟือในการจับจ่าย ขณะที่เฮนรี ฟอร์ด จำหน่ายรถยนต์ Ford ของเขาในราคา 440 เหรียญสหรัฐ Packard รุ่นใกล้เคียงกันกลับถูกตั้งราคาเอาไว้ถึง 2,600 เหรียญ โดยนอกจากขายในสหรัฐฯแล้วยังส่งไปจำหน่ายยังหลายประเ ทศ ในต่างแดน ซึ่งผู้นำของหลายๆ ประเทศก็สนใจที่จะซื้อหาไปประดับบารมี

    ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับ Packard เมื่อพวกเขาขายกิจการให้กับ เฮนรี เบิร์น จอย (Henry Bourne Joy) หนึ่งในสมาชิกของตระกูลที่เก่าแก่และมั่งคั่งที่สุดใ นดีทรอยต์ โดยจอยชื่นชมในความยอดเยี่ยมของ Packard ทำให้ตัดสินใจไม่นานเลยในการก้าวเข้ามาควบคุมกิจการแ ทนพี่น้องแพคการ์ด

    ตลอดทศวรรษ 1910 และ 1920 Packard หรู ๆ หลายรุ่นถูกผลิตออกสู่ตลาด และได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็น Packard 6 ในปี 1913 Twin-Six Touring ปี 1916 Second Series 243 Touring ปี 1926 Fourth Series 426 Roadster ปี 1927 และ Sixth Series 645 De Luxe Eight Dual Cowl ปี 1929

    ความโด่งดังของ Packard ทำให้รถยี่ห้อนี้ถูกเรียกขานร่วมกับรถยนต์ Pierce-Arrow แห่งเมืองบัฟฟาโล รัฐนิวยอร์ก และ Peerless แห่งคลีฟแลนด์ รัฐโอไฮโอ ว่าเป็น "Three P's" หรือ 3P ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรรถหรูของชาวอเมริกัน

    นั่นคือยุคต้นๆ ของรถยนต์ Packard ซึ่งเคยโด่งดังอย่างยิ่ง และเป็นหนึ่งในหน้าสำคัญของประวัติศาสตร์ ของวงการรถยนต์

    รถคลาสสิค ที่นิยมใช้ใน งานแต่งงาน

    ขอขอบคุณที่มาข้อมูลและรูป : เว็บไซด์ http://www.barringtonscars.co.uk/ ในต่างประเทศ นิยมนำรถคลาสสิคมาใช้ประกอบในงานแต่งงาน เสริมให้บรรยากาศในงานดีขึ้น เราได้นำรถคลาสสิคที่นิยมใช้ในงานแต่งงาน 4 ยี่ห้อ มานำเสนอเพื่อเป็นเกร็ดความรู้ ซึ่งแต่ละยี่ห้อมีลักษณะที่โดดเด่นแตกต่างกันไป ได้แก่ Badsworth Landaulette

    Badsworth Landaulette เป็นที่นิยมอย่างมากในปี 1930 รถ Badsworth Landaulette มีคุณสมบัติสามารถเปิดประทุนได้ทำให้คู่แต่งงานได้รั บบรรยากาศในงานได้อย่างเต็มที่ ทุกวันนี้ Badsworth ยังเป็นรถคลาสสิคยอดนิยมที่ใช้ในงานแต่งงานอย่างมากม าย The Royale Windsor

    The Royale Windsor เป็นผู้นำทางด้านการตลาดของรถที่มีความหรูหรา ด้วยความมีสไตล์ ในแบบปี 1940 มันจึงเข้ามาอยู่ในใจใครหลายๆ คน ด้วยคุณสมบัติของประตูโดยสารที่เปิดได้กว้าง และหลังคาที่สูง ทำให้ง่ายต่อการใช้งาน และสามารถเปิดประทุนได้ The Royale WIndsor หรูหราอย่างมีสไตล์ Princess VANDEN PLAS DM4 Limousine

    Princess VANDEN PLAS DM4 Limousine เป็นรถ Limousine ที่มีความสวยงามมากเช่นกัน และมีทั้งแบบ open top หรือ hard top รถ Princess VANDEN ถูกใช้อย่างกว้างขวาง ในปี 1950-1960 ในหมู่ของเชื้อพระวงศ์ และนายกเทศมนตรี จนกระทั่งในปี 1968 รถ Princess VANDEN ถูกแทนที่ ด้วย Daimler DS 420 Limousine Princess VANDEN จุที่นั่งได้ถึง 8 ที่นั่ง นับว่า Princess VANDEN มีความหรูหราไม่แพ้รถคลาสสิคยี่ห้ออื่นๆ Daimler DS 420 Limousine

    Daimler DS 420 หรือ Daimler Limousine เป็นรถที่ถูกใช้ในงานแต่งงานมากมาย ด้วย ความที่มันเป็นรถคลาสสิค ที่มีชื่อเสียง มีความหรูหรา มีที่นั่งถึง 7 ที่นั่ง ห้องโดยสารกว้างเหมาะกับชุดเจ้าสาวที่มีความยาว ทั้งคู่บ่าวสาวจะสามารถนั่งได้สบาย รถ Daimler DS 420 Limousine เป็นรถงานแต่งที่สวยงาม จนใครๆ ต้องเหลียวมอง
    Buick Skylark คุมกำเนิดเพื่อเสริมคุณค่า

    ขอขอบคุณที่มาข้อมูลและรูป : นิตยสาร รถวันนี้ ปีที่ 8 ฉบับที่ 354 บูอิค สกายลาร์ก (Buick Skylark) คือรถยนต์ในชั้น (ดิวิชั่น) บูอิคของเจเนอรัลมอเตอร์ส (General Motors-GM) โดยมีจุดเริ่มต้นในปี 1953 ก่อนจะมีสายการผลิตยาวนานกว่า 40 ปี โดยการเปลี่ยนโฉมแต่ละครั้งเป็นการเปลี่ยนจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้น หรือสไตล์ตัวถังที่เปลี่ยนไปตามสมัยนิยม ชนิดที่ไม่บอกก็ไม่รู้ว่าเป็นสกายลาร์ก รุ่นพี่รุ่นน้องกัน

    Buick Skylark รุ่นปี 1953 เป็น 1 ใน 3 รุ่นที่ผลิตขึ้นเป็นพิเศษ เป็นแบบเปิดประทุนในวาระการฉลองครบรอบ 50 ปีของบูอิค สำหรับอีก 2 รุ่นก็คือ โอลด์สโมบิล เฟียสตา (Oldsmobile Fiesta) กับคาดิลแลค เอลโดลาโด (Cadillac Eldorado) โดยทั้ง 3 ยี่ห้อผลิตจำนวนจำกัด ในจำนวนนี้ Skylark มียอดผลิตสูงที่สุดแต่ก็ผลิตขึ้นมาเพียง 1,690 คัน เท่านั้น ขณะที่ในปี 1954 ที่มีการปรับโฉมเล็กน้อย ผลิตออกจำหน่ายอีก 836 คัน

    รถรุ่นนี้ไม่ได้ถูกออกแบบมาโดยเฉพาะ พื้นฐานส่วนใหญ่ของ Skylark มาจากรถ 2 ประตู เปิดประทุน รุ่น Roadmaster โดยมีความกว้าง/ยาวเท่ากัน (ส่วนสูงแตกต่าง) อุปกรณ์ใช้งานและอุปกรณ์อำนวยความสะดวกแทบจะเหมือนกั น ของใหม่สำหรับ Buick ที่นำมาใช้กับ Skylark เป็นคันแรกก็คือเครื่องยนต์ V8 กับระบบไฟฟ้า 12 โวลต์

    รถคันนี้เป็นรถนั่งขนาดใหญ่ น้ำหนัก 4,135 ปอนด์ จ่ายเชื้อเพลิงด้วยคาร์บูเรเตอร์ 4 ตัว เครื่องยนต์ V8 ให้กำลัง 188 แรงม้า เร่งจาก 0-60 ไมล์/ชม. ใน 12 วินาที ความเร็วสูงสุด 105 ไมล์/ชม.

    สำหรับองค์ประกอบอื่น ๆ นั้น ตัวถังดูจะโหลดต่ำกว่ารถเปิดประทุนทั่วไป กระจกหน้าลาดเอียงลงกว่าเดิม ล้อเป็นโครเมียม แบบซี่ 40 ซี่ ขณะที่ภายในห้องโดยสารบุหนังอย่างดี ดูมีราศี

    ส่วน Buick Skylark รุ่นปี 1954 ปรับโฉมที่ด้านหลังใหม่ ทั้งครีบหลังและแผงไฟหลังในแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

    รถปีนี้ยังใช้เครื่องยนต์ V8 แต่เพิ่มความแรงเป็น 20 แรงม้า เร่งจาก 0-0.25 ไมล์ (ควอเตอร์ไมล์) ในเวลา 18 วินาที

    ด้วยการเป็นของดีที่มีไม่มากอย่างนี้ ทำให้ภาพลักษณ์ของรถดีและได้รับการยอมรับอย่างสูงในย ุคนั้น นอกจากนี้ยังส่งผลให้เป็นรถหายากในยุคปัจจุบันอีกด้ว ย


    Lincoln Continental ทศวรรษ 1970 อีกหนึ่งในความโดดเด่นของฟอร์ดมอเตอร์

    ขอขอบคุณที่มาข้อมูลและรูป : นิตยสารรถวันนี้ ปีที่ 8 ฉบับที่ 349 ลินคอร์น คอนติเนนตัล (Lincoln Continental) คือรถยนต์ตัวเก่งในชั้นของ ลินคอร์น แห่งฟอร์ด มอเตอร์ เริ่มต้นผลิตตั้งแต่ปี 1939 และผลิตต่อเนื่องกันไปถึง 63 ปี แม้จะโดนกดดันจากฟอร์ด รุ่นที่ราคาถูกกว่าอยู่บ่อยครั้งก็ตาม เนื่องจากสไตล์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวยากที่จะเลียนแ บบได้สำหรับรถหรู

    จากสายการผลิตที่ยาวนาน Continental ซึ่งมีการปรับโฉมและเปลี่ยนโฉมบ่อยครั้ง โดยเมื่อมาถึงทศวรรษ 1970 ก็มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กับไฟหน้า เริ่มที่ Lincoln Continental Mark III การเปลี่ยนแปลงกันชนเกิดขึ้นในปี 1973 ขณะที่กระจังหน้ามีการเปลี่ยนแปลง ในปี 1971 และ 1977 โดยปี 1977 กระจังหน้าของ Continental ถูกออกแบบให้ยืดสูงขึ้น แต่แคบลงคล้ายกับกระจังหน้าของโรลสลอยซ์ นอกจากนี้ยังมีความพยายามอย่างจริงจังที่จะพัฒนาเครื ่องยนต์เพื่อให้เผาไหม้หมดจด ควบคุมมลพิษเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม

    ระหว่างปี 1972-1975 Lincoln Continental Mark IV ต่อสู้กับ Cadillac Eldorado เพื่อให้ได้ชื่อว่าเป็นสุดยอด รถหรูแห่งยุค ซึ่งก็ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม มีออพชั่นให้ลูกค้าได้เลือกหลายอย่าง เช่น เครื่องยนต์มาตรฐานขนาด 6.6 ลิตร สมอลบล็อก มีออพชั่นเป็นขนาด 7.5 ลิตร ในปี 1977 โดยเครื่องยนต์ Ford’s 460 cid V8 นี้จัดเป็นเครื่องยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกสำหรับรถตลา ด ระหว่างปี 1977-1979 ด้วย

    ส่วนเรื่องของขนาด Lincoln ก็จัดเป็นรถยนต์ตลาดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเช่นกัน โดยเฉพาะหลังจากปี 1977 ที่ General Motors-GM คู่แข่งสำคัญของฟอร์ด ลดขนาดรถใหญ่ของพวกเขาลงมา โดยมีเพียง Cadillac Fleetwood 75 เท่านั้นที่ใหญ่กว่า Lincoln ความนิยมที่อยู่ในระดับสูงของ Continental ทำให้ชื่อของมันถูกศิลปินนำไปใส่ไว้ในเพลงของพวกเขา อาทิ Bad, Bad Leroy Brown ขิง จิม โครเช่ ในปี 1973 "…got a custom Continental (he got a Eldorado, too!...) หรือเพลง It’s Still Rock and Roll to me ของ บิลลีโจล ในปี 1980 "…Your best bet’s a true baby blue Continental เป็นต้น ติดตามวิกฤตตลาดรถ
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย danwin999 : 25-09-2009 เมื่อ 18:03
    AM A VEGAN AND GREEN - SAVE THE WORLD
    ชมรมอนุรักษ์รถโบราณตรัง (ศรีตรัง ClassicClub)
    คลิ๊กที่นี่ www.thaiscooter.com/club/sritrang

  8. #8
    Member Grandfather's Avatar
    วันที่สมัคร
    Jun 2009
    สถานที่
    ชมรมอนุรักษ์รถโบราณจังหวัดตรัง
    ข้อความ
    154
    ขอบคุณ
    0
    ได้รับขอบคุณ 0 ครั้ง ใน 0 ข้อความ
    ผลการให้คะแนน
    15

    มาตรฐาน

    สงสัย จะไปเจอกรุความรู้เลยโพสใหญ่เลยนะครับ ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆ
    *****LIFE = HOPE & TRY = FINISH*****
    มนต์เสน่ห์แห่งความคลาสสิคไม่เคยลืมเลือน

  9. #9
    สู้ สู้ ๆๆ betty2006's Avatar
    วันที่สมัคร
    Jun 2007
    ข้อความ
    34
    ขอบคุณ
    0
    ได้รับขอบคุณ 0 ครั้ง ใน 0 ข้อความ
    ผลการให้คะแนน
    0

    มาตรฐาน

    ความรู้ทั้งนั้นเลยน่ะพี่ ขอบคุงท่านพี่มาก ๆๆ อ่านกันน่ะทุกท่านแล้ว ทุกท่านจะได้รู้ว่า เจ้าคลาสสิกที่ใช้น่ะ มันมีใช้ปันกทีไหน อายุมันเท่าไหร่ น่ะคับพ่อแม่พี่น้อง เด้อ
    คลาสสิคจง สถิตอยู่กับทุกท่าน น่ะครับ
    ไม่ว่าเราจะทำดีเพื่อใคร ๆ มากมายขนาดไหนความสุขทางใจที่เราได้ ก็ได้กับตัวเอง

  10. #10
    Member AO-South KantanG's Avatar
    วันที่สมัคร
    Sep 2009
    สถานที่
    กันตัง 2 ล้อโบราณ
    ข้อความ
    254
    ขอบคุณ
    0
    ได้รับขอบคุณ 0 ครั้ง ใน 0 ข้อความ
    ผลการให้คะแนน
    15

    มาตรฐาน

    อ้างอิง ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ betty2006 อ่านข้อความ
    ความรู้ทั้งนั้นเลยน่ะพี่ ขอบคุงท่านพี่มาก ๆๆ อ่านกันน่ะทุกท่านแล้ว ทุกท่านจะได้รู้ว่า เจ้าคลาสสิกที่ใช้น่ะ มันมีใช้ปันกทีไหน อายุมันเท่าไหร่ น่ะคับพ่อแม่พี่น้อง เด้อ
    ตาสว่างเลยผม รู้แจ้งเห็นจิง

    ความรู้สุดๆเจ๋งจิงๆ

    มีไรนำมาฝากน้องๆอีกเด้อ ขอบคุณๆล่วงหน้า
    AO-South KantanG

    <สองล้อบราณ> [email protected]
    *-*Attorney-maN*-*

  11. #11
    Senior Member Bank99's Avatar
    วันที่สมัคร
    Sep 2007
    สถานที่
    ค่ายเทพสตรีคลาสสิคคลับ (นครศรีฯ)
    ข้อความ
    1,788
    ขอบคุณ
    0
    ได้รับขอบคุณ 0 ครั้ง ใน 0 ข้อความ
    ผลการให้คะแนน
    18

    มาตรฐาน

    /\2 /\2 /\2 /\2 /\2

  12. #12
    goomaiba's Avatar
    วันที่สมัคร
    Mar 2007
    สถานที่
    อิสระชน
    ข้อความ
    2,757
    ขอบคุณ
    0
    ได้รับขอบคุณ 0 ครั้ง ใน 0 ข้อความ
    ผลการให้คะแนน
    20

    มาตรฐาน ...

    ขอฝากหน่อยคับ สำหรับพี่ที่ต้องการดูรุปรถที่ออกมาจากโรงงาน

    http://www.thaiscooter.com/forums/sh...=180862&page=6

    รูปโปสเตอ เก่าๆคับ
    " ทำไมเราต้องไปทำอะไรตามใครเค้า...ในเมื่อใจเรามันไม่ เหมือนใคร "
    สอบถาม ติดต่อซื้อขาย พูดคุย
    ซื้อของจากผม โอนเงินเข้าบัญชีนี้บัญชีเดียวน่ะครับนอกจากนี้ไม่ใช ่ผม !!!
    เลขบัญชี 960-2-07142-9 ธ.กสิกรไทย ออมทรัพย์ สาขาลพบุรีราเมศวร์
    ชื่อ บัญชี นายภควัต สังข์แก้ว
    086-9668935 ต้นคับ ADD line , whatapp มาคุยกันได้ครับ มีเบอร์นี้เบอเดียวน่ะครับ ถ้าเบอร์อื่นล่ะไม่ใช่ผม
    งดต่อรองหน้า กระทู้ น่ะจ๊ะ
    <<<<<<<<<<<<>>>>>>>>>>>>>>
    จุดที่ลงตัวไม่มีหรอกตราบใดที่ความพอใจของคนเราไม่มี ที่สิ้นสุด....

  13. #13
    Senior Member sia cafe's Avatar
    วันที่สมัคร
    Aug 2009
    สถานที่
    CLASSIC IRON
    ข้อความ
    497
    ขอบคุณ
    0
    ได้รับขอบคุณ 0 ครั้ง ใน 0 ข้อความ
    ผลการให้คะแนน
    15

    มาตรฐาน


    พอได้มั้ยคร้าบ

    ภูเก็ตซิงเกิลคลับคร้าบ













    รูป รูป  

Bookmarks

กฎการส่งข้อความ

  • You may not post new threads
  • You may not post replies
  • You may not post attachments
  • You may not edit your posts
  •