News Image Thumbnail:



รอบนี้มารีวิวมือถือเรือธงจาก Nokia ซึ่งเป็นรุ่นที่ถูกจับตามองอย่างมากจากผู้ใช้ทั่วไปแ ละผู้ใช้มือเก๋าว่าจะมากู้หน้าให้กับ Nokia และ Microsoft ได้แค่ไหนจากครั้ง Lumia 900/910 ที่ใช้ Windows Phone 7 ตัวเก่าที่ไม่ได้รุ่งอย่างที่คิด Nokia จากการส่งมือถือ Windows Phone 7 ออกมาช้ากว่าที่ควรจะเป็น หรือถ้าพูดง่ายๆ ว่ามาตอนตลาดวายไปแล้ว และเหมือนทาง Microsoft ก็ดูจะไม่ได้สนใจที่จะดูแล Windows Phone 7 ต่ออยู่พักหนึ่ง ก่อนจะออก Windows Phone 7.5 และกำลังจะออก Windows Phone 7.8 เร็วๆ นี้ ซึ่งในตอนนั้นก็ดูจะเป็นช่วงเดียวกับที่ Nokia ออกพอดี ซึ่งผิดกับตอนที่ HTC ออก Windows Phone 7 ที่ดูจะโหมโฆษณาหนักกว่ามาก
มารอบนี้ Windows Phone 8 ทาง Nokia กลับเปิดตัวแรงและขายก่อน HTC เจ้าเก่าหรือผู้เล่นรายใหม่อย่าง Samsung ด้วยยอดขายและยอดจองที่ถือว่าทำได้ดีสำหรับตลาด Windows  Phone 8 ที่ถือว่าใหม่มากในตลาดตอนนี้ โดยครั้งนี้ Microsoft เปิดตัวเพื่อเข้ามาชนกับ Android 4.2 จาก Google และ iOS 6 จาก Apple ที่ออกมาก่อนหน้านี้ไม่นานนักอย่างดุเดือด
ต้องกล่าวในส่วนของ Windows Phone 8 ก่อนว่ามีรหัสพัฒนา (codename) ชื่อ Apollo เป็นมือถือรุ่นที่ใช้ NT kernel ซึ่งเป็น kernel ชนิดเดียวกับ Windows 2000 (NT 5.0), XP (NT 5.1), Vista (NT 6.0) และ 7 (NT 6.1) แต่ปรับปรุงให้เล็กลงมากๆ และได้ใช้ core component ระบบที่แชร์การพัฒนาร่วมกับ Windows 8 โดยเอามาแทนที่ Windows CE kernel ที่อยู่ใน Windows Mobile และ Windows Phone 7.x ที่ขายไปก่อนหน้านี้ โดยถ้าจะให้พูดง่ายๆ คือล้างไพ่ใหม่หมด โดยถ้ามองในภาพรวมแล้วถือว่าเสี่ยงมากในการกลับมาโดย ไม่อิงกับระบบเดิมใดๆ เลย (แม้จะมี Apps เก่าๆ ทำงานได้อยู่บ้าง) แต่ถ้าในมุมของการเกิดใหม่และต้องการที่จะกลับมาใน Platform ที่ทรงพลังอย่าง NT kernel คงต้องทำ และยังเป็นวิธีคิดเดียวกับที่ Apple ทำ ก็คือ iOS ใช้ OS X kernel ตั้งแต่แรกเช่นเดียวกัน

Nokia Lumia 920 นั้นมาพร้อมกับ CPU ยี่ห้อ Qualcomm รุ่น Snapdragon S4 (MSM8960) 1.5 GHz dual-core Qualcomm Krait พร้อม GPU จาก Qualcomm เองอย่าง Adreno 225 โดยในเครื่องมี RAM มาให้ 1GB และมี Storage มาให้แบบไม่สามารถเพิ่มเติมได้อีก 32 GB (internal flash)
ตัวเครื่องนั้นออกแบบมาให้รองรับเครือข่ายทั่วโลกทั้ ง 2G, 3G และ 4G LTE

  • 2G - GSM/GPRS/EDGE:  850/900/1800/1900
  • 3G - HSPA: 850/900/1700/1900/2100
  • 4G - LTE: 700/1700/2100
  • TD-SCDMA (สำหรับขายที่จีน)

ความเร็วด้านของ Data นั้น Upload/Download ก็เป็นไปตามสภาพของตลาดมือถือที่เรือธงอย่าง Lumia 920 จะจัดเต็มกับ 4G TLE มาให้
Upload

  • LTE: 50 Mbit/s
  • HSDPA: 5.76 Mbit/s

Download

  • LTE: 100 Mbit/s
  • HSDPA: 42.2 Mbit/s
  • GSM/GPRS/EDGE: 236.8 kbit/s

อย่างแรกในด้านคุณภาพเสียงของการสนทนาในการโทรศัพท์ต ามปรกตินั้น ถือว่าทำได้ดีมากๆ เสียงชัดฟังง่าย ใสเคลียร์มากสำหรับภาครับ และผู้สนทนาปลายทางก็ได้ยินเสียงชัดเจนดี ซึ่งในตลาดนั้น Nokia มีชื่อเสียงในด้านการใช้งานด้านโทรศัพท์ที่ให้คุณภาพ เสียงคมชัดในการสนทนาทั้งฝั่งผู้รับสายและผู้โทรอยู่ แล้ว

จอภาพเป็นแบบ LCD (LED IPS Panel) 16 ล้านสี ขนาด 4.5 นิ้ว พร้อมเทคโนโลยี PureMotion HD+ ClearBlack มาในตัว จากที่ได้ทดสอบกลางแจ้งนั้น ถ้าเราเปิด Auto Brightness ไว้ ตัวจอภาพจะเร่ง Luminance ขึ้นมาทำให้ Brightness และ Contrast จัดมากขึ้นเพื่อสู้กับแสงแดดได้ ซึ่งก็สมกับราคาคุย เพราะไม่ต้องเพ่งมากเห็นข้อมูลบนจอภาพได้ชัดเจน แต่ข้อเสียคือสีที่ได้จากการจอภาพเร่ง Luminance สู้กับแสงแดดจะเพี้ยนไปเลย เขียวจะเขียวแบบปรี๊ดมาก ถ้าแดงก็แดงจัด แต่คงต้องแลกกับการที่เราสามารถมองเห็นเนื้อหาที่เรา ต้องการอ่านได้อย่างชัดเจน
ในส่วนของการสั่งงานผ่านตัวจอภาพนั้นเป็น Capacitive Multitouchscreen ตามสมัยนิยมอยู่แล้ว แต่เพิ่มเติมคุณสมบัติ High Sensitivity touch เข้ามาด้วยซึ่งทดสอบด้วยการเอาปลายปากกาก็พอจะสามารถ ที่จะทัชได้ แต่เอาเข้าจริงๆ ก็ไม่สะดวกเท่าไหร่ (ตอนทดสอบก็กลัวจอเป็นรอยเหมือนกัน) แต่ถ้าเป็นถุงมือหรือพวกหน้าสัมผัสที่มีพื้นที่มากหน ่อย ก็สามารถใช้งานแทนนิ้วได้สบายๆ โดยคุณสมบัติตัวนี้สามารถเปิด-ปิดได้จาก Setting ของตัว Windows Phone 8 ถ้าไม่ได้ใช้ ก็แนะนำให้ปิดจะได้ประหยัดไฟ
ในส่วนของ Resolution ของจอภาพคือ 768 x 1280 pixels (WXGA) ขนาด Ratio 15:9 บนจอภาพ 4.5 นิ้ว ทำให้มีความหนาแน่นของ pixel ที่ ~332 ppi จากที่ได้ลองใช้ไม่ได้แปลกใหม่อะไรนัก เป็นการทำคุณสมบัติให้เท่าๆ กับผู้เล่นตัวอื่นๆ ในตลาดทั่วๆ ไป
สำหรับตัวกระจกที่หน้าจอภาพนั้นเป็นแบบโค้งที่ขอบจอ (Curved glass) ใช้กระจกจาก Corning Gorilla Glass 2 แบบเดียวกับ iPhone 5 ที่จะช่วยป้องกันและเพิ่มความทนทานในการรับแรงกระแทก และรอยขีดขวนได้ดีโดยในรุ่นที่ 2 นี้ตัวกระจกจะบางลง 20% ซึ่งจากที่ใช้งานมาแบบไม่ได้แปะ Film Protector ก็ยังไม่เกิดรอยแต่อย่างใด (ประมาณ 2 อาทิตย์)
โดยตัวกระจกนั้นมีการ Coating ด้วย polarization filter เพื่อลดแสงสะท้อนจากหน้าจอสำหรับใช้งานในที่ที่มีแสง แรงๆ หรือเจอแหล่งกำเนิดแสงส่งเข้าหน้าจอจนสะท้อนเข้าตานั ้น ตัว filter นี้ก็ทำงานได้ดี โดยจากที่ทดสอบก็ทั่วๆ ไป ทั้งในที่มีแหล่งกำเนิดแสงวิ่งเข้าหลายทิศทางและสะท้ อนเข้าตาเรา ซึ่งจริงๆ การ Coating คล้ายๆ กับการ Coat ตัวเลนส์ลดแสงสะท้อนของกล้องถ่ายรูปทำให้เรามองหน้าจ อผ่านกระจก Gorilla Glass ได้สบายตามากขึ้น
 
ในส่วนของงานประกอบนั้น ตัวถังเป็นแบบ unibody แบบ polycarbonate แบบหล่อขึ้นรูปเป็นชิ้นเดียว ไม่สามารถถอดแบตเปลี่ยนเองหรือใส่ microSD เพิ่มเติมได้ เพราะฉะนั้น มี 32GB มาให้ ก็ได้แค่ 32GB เท่าที่มีมาแค่นี้เลย
ด้านล่างของตัวเครื่องนั้นมีส่วนที่ขันน็อตเพียง 2 จุด ช่อง speakerphone และช่องเสียบสาย microUSB ที่ด้านล่างของตัวเครื่อง ซึ่งเจ้าช่องเสียบสาย microUSB นั้นพ่นสีดำไว้ ทำให้ดูดีเพราะเวลาเสียบสายเข้า-ออกนั้นจะเกิดรอยได้ง่าย แต่ในส่วนนี้พ่นสีดำไว้ทำให้พรางตาจากรอยที่เกิดขึ้น ได้ดีทีเดียว
สำหรับส่วนของการเชื่อมต่อ microUSB นั้นไม่สามารถเชื่อมต่อแบบ OTG (USB On-The-Go) เพื่อต่ออุปกรณ์ต่อพ่วงอื่นๆ ใช้ USB Drive, Aircard หรือคีย์บอร์ดเข้าช่อง microUSB เพื่อเชื่อมต่อใช้งานได้โดยตรง โดยไม่ต้องผ่านคอมพิวเตอร์ ซึ่ง Windows Phone 8 ยังไม่สนับสนุน และจากการที่ตรวจสอบตาม forum ต่างๆ พบว่าตัวเครื่องนั้นสนับสนุนแต่ตัว OS นั้นไม่สนับสนุน
สำหรับการเชื่อมต่อกับ Keyboard ผ่าน Bluetooth นั้นตัว Windows Phone 8 ไม่สนับสนุนผ่านการเชื่อมต่อแบบ Human Interface Device (HID) Profile แต่อย่างใด ทดสอบด้วยการทดสอบเชื่อมต่อกับ Microsoft Wedge Mobile Keyboard แล้วไม่สามารถใช้งานได้ แต่ขณะเดียวกัน ผมทดสอบต่อ Microsoft Wedge Mobile Keyboard กับ iPod touch, iPad, Nexus 7 และ Oppo Find 3 สามารถทำงานได้ดีเยี่ยม
สำหรับ Micro HDMI (MHL) ยังหาข้อมูลไม่ได้ว่า Nokia Lumia 920 นั้นต่อ HDMI ได้ไหม เพราะไม่มีใครทดสอบเลยหรือเว็บทดสอบว่าใช้ได้ แต่จากการทดสอบส่วนตัว โดยใช้สาย MHL ที่สามารถต่อ Oppo Find ออก HDMI ได้ แล้วนำมาต่อกับ Nokia Lumia 920 เพื่อทดสอบกลับใช้งานไม่ได้ จึงขอสรุปจากการใช้งานจริงส่วนตัวว่ายังไม่สนับสนุน หรือใช้งานได้ในตอนนี้ (สาย MHL ตัวนี้สามารถใช้งานได้กับ Samsung Galaxy S3 ด้วย)

สำหรับด้านขวามือนั้นมีปุ่ม 4 ปุ่ม 3 กลุ่มด้วยกัน มีปุ่มชัตเตอร์กล่องต่างหากอยู่ด้านล่างของตัวเครื่อ ง และมีปุ่มเปิด-ปิด-ล็อกเครื่องอยู่ตรงกลาง และมีปุ่มปรับระดับเสียงอยู่ด้านบน

ด้านซ้ายของตัวเครื่องไม่มีปุ่มใดๆ ให้สะดุดกับการใช้งานเลย และจัดวางนั้นทำให้ใช้งานได้สะดวกมากๆ ไม่เผลอไปกดผิดด้วยเพราะมีอยู่ด้านเดียว ง่ายเวลาต้องการกดโดยไม่ต้องมอง เวลาใช้เสร็จก็ใช้นิ้วชี้หรือนิ้วกลางกดปุ่มล็อก (กรณีถือมือซ้าย) หรือใช้นิ้วโป้งกดปุ่มล็อก (กรณีถือมือขวา) ของเครื่องได้ทันที
ด้านบนมีช่องเสียบสาย 3.5 mm แบบ smalltalk หรือหูฟังทั่วไปได้ และช่องใส่ microSIM ด้านบน ซึ่งเป็นแบบถาดเสียบเข้า-ออก ในกล่องมีเครื่องมือสำหรับดันถาดใส่ซิมออกมาด้วย แล้วก็เสียบกลับเข้าไป โดยรวมนั้นตัวช่องนี้แน่นหนาดีไม่หลุดออกมาได้ง่ายๆ
ด้านบนของตัวเครื่องมีกล้องขนาดความละเอียด 1.3 MP บันทึกวิดีโอที่ 720p (30fps) ได้สบายๆ

ในด้านของน้ำหนักตัว Nokia Lumia 920 อยู่ที่ 185 กรัม (iPhone 5 น้ำหนัก 112 กรัม) ถือว่าหนักพอตัว และแน่นอนว่าตัวมือถือก็หนากว่ามือถือเรือธงค่ายอื่น ๆ ด้วย คงเพราะระบบ OIS ของตัวเลนส์กล้องเอง และ wireless charger ที่ใส่มาในตัวเครื่องทำให้ตัวเครื่องหนาและหนักแบบนี ้
สำหรับแบตฯ นั้นให้มา 2,000mAh ถือว่าพอประมาณ เพราะด้วยระบบของ Windows Phone 8 ที่ออกแบบมาให้ใช้พลังงานน้อยจากการไม่ให้ App ต่างๆ ทำงานแบบ background process ได้ตลอดเวลา ทำให้แบตอยู่ได้นานขึ้น จากการใช้งานนั้น ถ้าเปิดวางไว้เฉยๆ แล้วจะใช้พลังงานประมาณชั่วโมงละ 1% และถ้าใช้งานเล่น internet 3G โดยทั่วไปจะลดลงเร็วมากตามปรกติสูสีกับ Smartphone ค่ายอื่นๆ โดยถ้าเล่นต่อเนื่องตลอดเวลาและโหลดข้อมูลบน 3G เรื่อยๆ จะใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงแบตจึงเหลือ 30%
แต่โดยส่วนตัวผู้รีวิวแล้วนั้น ถ้าใช้งานตามแบบคนทำงานแล้วชาร์จแบตฯ ไว้ 100% ตอนเช้า (9 โมงเช้า) ตอนเดินทางก็เล่นเน็ตบนรถไฟฟ้าไปเรื่อยๆ ถึงที่ทำงานก็วางไว้ ทำงานอื่นๆ ไม่ได้สนใจมือถือ ตอนเที่ยงก็ทานข้าวก็เล่นบ้างตามประสา ตกช่วงบ่ายแบตยังคงเหลืออยู่ที่ประมาณ 70-80% และกลับบ้านก็เหลืออยูประมาณ 40-50% ได้โดยเฉลี่ย
สำหรับความร้อนในการใช้งานนั้น ถ้าเปิด 3G ใช้งานตลอด จะมีความร้อนที่เครื่องค่อนข้างเยอะ และถ้าเปิด GPS นำทางด้วยจะร้อนเพิ่มขึ้นมาอีก ตรงนี้เป็นส่วนที่ต้องสังเกตดีๆ ระหว่างใช้งานด้วย

ด้านหลังเป็นกล่องถ่ายรูปขนาดความละเอียด 8.7MP โดยถ่ายออกมาได้ขนาดภาพเท่ากับ 8MP เป็นลักษณะเฉพาะของเทคโนโลยี PureView ของ Nokia เอง แน่นอนว่ามาพร้อมกับเลนส์ Carl Zeiss ที่รูรับแสงขนาด f/2.0 รองรับ ISO ถึง 800 ซึ่งโดยรวมต้องบอกว่าภาพที่ให้นั้นดูคมและชัดเจนดี การไล่โทนสีทำได้ต่อเนื่องแม้ในที่แสงไม่เยอะมาก อย่างร้านอาหารที่สาวๆ คงจะชอบถ้าได้กล้องดีๆ ไปพร้อมกับมือถือแล้วถ่ายรูปอัพขึ้น facebook อวดเพื่อนๆ
สำหรับตัว OIS (Optical Image Stabilization) ที่ในขณะนี้มีเพียงหนึ่งเดียวในตลาดที่มี ต้องบอกว่าสมราคาคุยจริงๆ มองจากจอภาพคิดว่าถ่ายรูปแล้วเบลอ แน่ๆ แล้วก็เลยกดย้ำไปตามปรกติ แต่พอกลับไปจะลบรูปที่คิดว่าเสีย กลับไม่มีเบลอหรือไม่คมชัด ซึ่งอันนี้คงต้องอาศัยการปรับตัวสักนิดคงเข้าที่สำหร ับการใช้งาน OIS บนมือถือ แต่ก็แลกกับความรำคาญเล็กๆ กับเสียงแปลกๆ ดังกิ๊กๆ เวลาเขย่าเครื่อง เพราะตัวเลนส์มันลอยอยู่บนตัว Stabilizer มันเลยมีความอิสระในการสั่นไหวและรักษาระดับของเลนส์ เลยทำให้มันอาจจะไปกระทบขบหรือเกิดเสียงแปลกๆ ได้
สำหรับระบบ Autofocus ถือว่าแม่นในระดับหนึ่ง ยิ่งในที่แสงน้อย แม้จะปิดระบบ Focus Assist Light ไป แต่ก็ยังพอจะโฟกัสได้ แต่ถ้าเปิด ก็จะทำให้แม่นขึ้นไปอีก ส่วนอาการวูบวาบของการโฟกัส ก็คงตามปรกติของกล้องมือถือที่ไม่มีระบบโฟกัสเฉพาะมา ให้
ในส่วนของกล้องที่อาจจะต้องปรับคือเรื่องสมดุลสีขาว (White Balance/WB) ของตัวกล้อง ที่ถ้าเราตั้งเป็น Automatic จะออกมาไม่ตรงในสภาพแสง-สีที่ซับซ้อน ซึ่งคงต้องปรับแต่งตัว Software ให้มีความแม่นยำในการปรับสมดุลสีขาวให้ดีกว่านี้ เพราะภาพที่ได้มานั้น จะออกโทน cool daylight เป็นหลักเลย
สำหรับตัว Dual LED flash นั้นเล็กกว่าที่คิดไว้ ด้วยเทคโนโลยีแบบ Short pulse high power dual LED ทำให้กำลังไฟสูงขึ้นแต่ใช้ตัว LED ที่เล็กลงที่ถูกใส่ลงมาในกล้องมือถือตัวนี้
สำหรับในโหมดของการถ่ายรูปและวิดีโอนั้น ตัวส่วนติดต่อของการถ่ายภาพนิ่งจะดูมีให้ปรับเยอะกว่ า ถ้าเข้าไปใน photo settings จะมีรายการ
Scenes

อ่านต่อ...