









ผมเที่ยวปายมาตั้งแต่สมัยปายยังไม่ดัง
(เมื่อก่อนเคยวิ่งประมูลงานให้น้าที่ภาคเหนือมีช่วงห นึ่งต้องขับรถวิ่งไปกลับไซต์งานที่แม่ฮ่องสอนเชียงให ม่ประจำ)
เมื่อก่อนปายเป็นแค่ที่พักกลางทางของฝรั่งที่ต้องการ ไปเที่ยวแม่ฮ่องสอนเท่านั้น
เพราะเส้นทางไปแม่ฮ่องสอนนั้นไกลและคดเคี้ยว ก็เลยเริ่มมีเกสเฮาส์และบริการต่างๆ
มารองรับชาวต่างชาติ ด้วยความที่ตั้งอยู่ระหว่างเชียงใหม่กับแม่ฮ่องสอนแล ะเป็นเมืองเล็กๆ
ที่ราคาที่ดินยังไม่แพงก็จึงมีเหล่าผู้คนเมืองที่ต้อ งการหลีกลี้หนีโลกไปตั้งรกรากหากินกับฝรั่ง
เปิดเกสเฮ้าส์เล็กๆ เปิดร้านเหล้า ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ด้วยความที่ต้องการให้บรรยากาศเข้ากับท้องถิ่น บรรยากาศของร้านเหล่านี้จึงออกมาเรียบง่ายและมีศิลปะ แฝงในตัวจึงกลายเป็นเสน่ห์
เป็นเอลักษณ์ของเมืองปายในที่สุด
และการที่เมืองตั้งอยู่กลางขุนเขา ฝรั่งที่แรกๆกะว่าจะมาพักครึ่งทาง เมื่อเจอบรรยากาศเรียบง่าย
ของเมืองและผู้คนที่อัธยาศัยดี น้ำใจงามตามแบบชนบท ก็เริ่มอยู่หลายวันขึ้นๆ หมกตัวตามร้านเหล้า
พี้กัญชา ซื้อทัวร์เดินป่าไปสูบฝิ่นตามหมู่บ้านชาวเขา สีสันของเมืองก็เลยเริ่มเพ้อฝัน
และอารมณ์ศิลปินมากขึ้นไปทุกขณะ ฝรั่งที่มาวันๆไม่ค่อยทำอะไรนอกจากเสพสุรายาเมา
นอนเกสเฮ้าส์ถูกๆกันนานๆ กิน ขี้ ปี้ นอน มันอยู่แถวนั้น จนมีสโลแกนของเมืองปายขึ้นมาว่า ..."Notting in pai" คือมันเป็นเมืองที่ไม่มีอะไรเลย เหมาะสมกับการมาทำตัวขี้เกียจ
กินๆ นอนๆ กลิ้งๆ แล้วชาร์จไฟกลับไปทำงานมากกว่า ไม่ต้องคิดว่าวันนี้กูจะไปไหน
จะไปถ่ายรูปกับหลักกิโลเมตรหรือป้ายสวยๆที่ร้านไหน จะไปเหมาโพสคาร์ดที่ซ้ำๆดาษๆที่ร้านไหนดี
หลายปีที่ผ่านมาหลังจากกระแสการท่องเที่ยวไทยในบ้านเ ราดีขึ้นตามลำดับ
ก็เริ่มมีคนบางกลุ่มไปพบ"ความเป็นปาย"และถ่ายรูปมาเล ่า มาบอกต่อๆกันตามเวปบอร์ดและบล๊อก
ต่างๆ
ปายเริ่มเป็นที่สนใจของคนเมืองมากขึ้น จึงมีคนแห่ไปลงทุนค้าขายทำธุรกิจกันมากขึ้นไปด้วย
จากเมืองง่ายๆอะไรๆก็ไม่แพง ทุกอย่างก็เริ่มมีราคาค่างวดขึ้นมา รีสอร์ททุกระดับผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด
ชาวบ้านขายที่ให้นักลงทุนไปทำรีสอร์ทหรือประกอบธุรกิ จ สร้างแหล่งท่องเที่ยว
(ต้องใช้คำว่าสร้าง เพราะจริงๆปายไม่ได้มีที่เที่ยวอะไรมากมาย)
ชาวบ้านปายตัวจริงเริ่มอพยพออกไปอยู่ขอบๆเมืองมากขึ้ น
ต่อมากล้องดิจิตอลมีราคาถูกลงจนคนทั่วไปหามาใช้งานกั นง่าย รูปถ่ายของ"ความเป็นปาย"
ก็เลยถูกนำมาเผยแพร่ เล่าต่อๆกันไปกว้างขึ้นๆอีก จนเกิดเป็นแฟชั่น ของเหล่าคนเมือง
มนุษย์เงินเดือน ที่เมื่อมีวันหยุดติดต่อกันหลายวันก็ต้องไปเที่ยวแบบ เก็บเกี่ยวและกอบโกยให้คุ้มค่า กับวันหยุดมากที่สุด ไปแอคท่าถ่ายรูปกับวิวบังคับ เช่น หลักกิโล ร้านมิตรไทย ปายอินเลิฟ เป็นต้น
เกิดเป็นความนิยมว่า...แกๆไปปายมารึยัง??? (แปลว่าคุณไปถ่ายรูปที่เดียวกับกูมารึยัง)
ปรากฎการณ์ดังระเบิดของปาย จึงชักนำ"ความที่ไม่ใช่ปาย" เข้าไปข่มขืนให้เป็น"ความเป็นปาย
" เช่น เทศกาลดนตรีเร็กเก้
ให้คุณลองนึกภาพเมืองสงบกลางป่าเขา สมควรแก่การพักผ่อนนอนสบาย
แต่มีการจัดคอนเสริต์เปิดเพลงเสียงดัง มันสร้างสรรค์หรือทำลาย เพียงแค่ต้องการฟังเพลง
ในบรรยากาศหนาวๆ แค่ที่เขาใหญ่ก็พอแล้วกระมัง อย่ามาเบียดเบียนทำลาย
และข่มขืน"ความเป็นปาย"เลย ผมไม่ปฏิเสธความงดงามของดนตรี แต่ความงดงามของธรรมชาตินั้น..ยิ่งใหญ่กว่าดนตรีมากน ัก เสียงน้ำไหลตามลำธาร เสียงนกและแมลงร้องยามหากิน
เป็นทิพย์ดนตรีที่งดงามและเป็นสากลกว่าดนตรีทุกแขนง
ทุกวันนี้ผมขอบคุณที่คนกรุงไปย่ำยีและทำลายปายอย่างร วดเร็ว ดีใจที่เห็นคนไปแย่งกันกิน
แย่งกันเที่ยว แย่งกันเมารถ แย่งกันถ่ายรูปให้เข็ด ให้ได้รู้ว่ามันไม่ได้มีอะไรเลยถ้าคุณไม่ได้คิด
จะมาพักผ่อนที่ ...ปาย
ได้แต่หวังว่าเมื่อพวกคุณรู้ว่า "ไม่มีอะไรที่ปาย ..(Notting in pai)" คุณจะได้เลิกบ้าตามแฟชั่น
เห่อกันมาเที่ยวจนบรรยากาศแห่งความเป็นปายที่แท้จริง สูญเสียไป
สงสารก็แต่คนที่ไปลงทุน รถตู้เป็นร้อยคัน เมื่อคุณยำยีและพากันหนีไปถ่ายรูปที่อื่น
พวกเขาจะทำอย่างไรกัน???
สุดท้ายขอร้องจากใจจริงว่า ไม่ต้องเลิกไปปาย แต่จงถนอมและรักษา"ความเป็นปาย"
อย่าแห่แหนกันไปเฉพาะช่วงเทศกาล แบ่งๆกันไปบ้าง และจงค้นหาความจริงว่าที่มีผู้เคยกล่าวว่า Notting in pai นั้นมีความหมายที่แท้จริงว่าอย่างไร
ขอบคุณครับ
ปล.ขอบคุณภาพประกอบจาก
http://farm1.static.flickr.com/228/4..._e81f1d9fe5.jp
อ้างอิงมากจากhttp://seedang.com/stories/44784
ข้อความจากบอร์ด