ThaiScooter.Com Forums

การขับขี่ที่ถูกวิธิ-ปลอดภัย-เทคนิคการขับรถมอเตอร์ไซค์

ชื่อกระทู้: การขับขี่ที่ถูกวิธิ-ปลอดภัย-เทคนิคการขับรถมอเตอร์ไซค์

Tags: ไม่มี
  1. NK's Avatar

    NK said:

    มาตรฐาน การขับขี่ที่ถูกวิธิ-ปลอดภัย-เทคนิคการขับรถมอเตอร์ไซค์

    ไปเจอเลยมาเอามาฝาก หากใครมีสาระความรู้ดีๆที่เป็นประโยขน์กับชาวเรา เอามาลงที่กระทู้นี้เลยครับ กุ้งช่วยปักหมุดให้ด้วยครับก่อนที่จะออกรถหรือขับขี่กันจริงๆต้องพูดถึง “ท่าทางการขับขี่” ที่ถูกต้องกันก่อน เพราะมันเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะช่วย
    ให้สามารถควบคุมรถได้ง่ายและปลอดภัยขึ้นในทุกๆสภาวะ โดยจะมีที่สังเกตอยู่ 7 จุดด้วยกันคือ
    “ สายตา ” จะต้องมองไปข้างหน้าและกวาดสายตาไปเป็นมุมกว้างที่สุ ด สังเกตความเคลื่อนไหวต่างๆ อย่ามองเพียงจุดใดจุดหนึ่ง
    “ ไหล่ ” ไม่เกร็งเพราะจะทำให้การบังคับควบคุมไม่ดี ให้ปล่อยไปตามธรรมชาติ
    “ แขน ” ปล่อยตามธรรมชาติไม่ตึงหรือหย่อนจนเกินไป ข้อศอกไม่กาง
    “ มือ ” จับตรงบริเวณกึ่งกลางปลอกแฮนด์ ข้อมืออยู่ในแนวเดียวกับแขน อย่าจับในลักษณะหักข้อมือ
    “ สะโพก ” นั่งให้ได้ตำแหน่งพอดีกับการควบคุม ไม่เกร็ง ปล่อยให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับตัวรถ
    “ เข่า ” หันไปทางด้านหน้ารถ ไม่กางออก หนีบถังน้ำมันให้กระชับเพื่อความมั่นคง
    “ เท้า ” วางบนพักเท้าอย่างมั่นคงปลายเท้าชี้ไปข้างหน้าและวาง อยู่บนคันเกียร์และแป้นเบรค

    สำหรับท่าทางการขับขี่แบบชูคอ มือตั้ง หลังตรง เข่ากาง เท้าชี้พื้น ไม่อยู่ในสาระบบของการขับขี่แบบนักเลงมอเตอร์ไซค์ ส่วนการออกรถมือใหม่ที่ไม่เคยขี่รถคลัทช์มือมาก่อนมั กจะ “ตั้งใจ” ในการใช้คลัทช์มากเกินไปจนทำให้เป็นปัญหา เทคนิคการใช้คลัทช์ออกตัวนั้นจะง่ายมากถ้าทำเป็นไม่ส นใจมัน ค่อยๆปล่อยออกไปในลักษณะเหมือนให้สปริงคลัทช์ดันออกไ ปเอง เพียงแต่ใช้นิ้วช่วย “หน่วงเวลา” ไม่ให้สปริงมัน “ดีด” ออกไป พร้อมๆกับการเร่งเครื่องในจังหวะและปริมาณที่เท่าๆกั นออกไป ยิ่งรถสมัยใหม่และออกแบบมาในคอนเช็พท์ให้ขี่ง่ายอย่า ง nsr การปล่อยคลัทช์ออกตัวเป็นเรื่องง่าย อาจจะต้องสร้างความคุ้นเคยกับจังหวะเปิดของ rc วาล์วซึ่งจะทำให้เครื่องชะงักเหมือนจะดับไปเล็กน้อย (แต่จริงๆแล้วมันไม่ดับหรอก) สำคัญอยู่แต่เพียงเราต้องเตรียมพร้อมจะไปกับรถด้วยท่ าการขับขี่ที่ถูกต้องในทันทีเท่านั้น ไม่ใช่ออกตัวด้วยความตกใจหรือให้รถพาไปตามบุญตามกรรม

    เมื่อวิ่งได้ก็ต้องหยุดได้ “การใช้เบรก” เป็นสิ่งที่เราให้ความสำคัญมากที่สุด ทุกคนรู้อยู่แล้วว่าเบรกมันอยู่ตรงไหน เพียงแต่ว่าจะใช้อย่างไรให้มันปลอดภัยและถูกวิธี จะว่าไปในการขับขี่รถมอเตอร์ไซค์นั้น เราจะใช้เบรกเมื่อต้องการลดความเร็วหรือหยุดรถ อาจจะพูดได้อีกอย่างหนึ่งว่าเราเบรกก็เพราะว่ามีสิ่ง ที่เป็น “อันตราย” หรือสิ่งที่คาดว่าจะเป็นอันตรายอยู่ข้างหน้า แต่ก็ยังมีให้พบเห็นกันอยู่บ่อยๆว่า การเบรกของผู้ขับขี่บางคนกับสร้าง “อันตราย” ขึ้นมาเสียเอง ทั้งนี้เพราะขาดความรู้ความเข้าใจ ตลอดจนความชำนาญในการใช้เบรกอย่างถูกวิธีมาตั้งแต่แร ก บางคนได้รับการสอนมาตั้งแต่ตอนหัดขี่รถใหม่ๆว่า “อย่าใช้เบรกหน้า” เนื่องจากมองว่าเบรกหน้านั้นเป็นของอันตราย แต่โดยแท้จริงแล้วไม่ว่าจะเป็นเบรคหน้าหรือเบรคหลังก ็เป็นอันตรายได้ทั้งสิ้นถ้าหากเราใช้ไม่ถูกต้อง สำหรับรถมอเตอร์ไซค์นั้นเราเคยบอกเอาไว้แล้วว่ามีเบร กอยู่ด้วยกัน 3 แบบคือ

    1. เบรกหน้า เบรกหน้าเป็นเบรกที่ให้ประสิทธิภาพในการหยุดมากที่สุ ด ให้ระยะเบรกสั้นที่สุด นั่นหมายความว่าถ้าหากใช้อย่างถูกวิธีแล้วจะได้รับคว ามปลอดภัยมากกว่า
    2. เบรกหลัง เป็นเบรกที่มีประสิทธิภาพในการหยุดต่ำ ดังจะเห็นได้จากการทดลองซึ่งให้ระยะเบรกไกลที่สุด อีกทั้งยังเสี่ยงต่อการลื่นไถลของล้อหลังอีกด้วย กว่า 80% ของการใช้เบรกหลังอย่างเดียว มักจะทำให้เกิดล้อหลังล็อคและเกิดการลื่นไถลจนเป็นอั นตราย
    3. เบรกเครื่องยนต์ การเบรกด้วยเครื่องยนต์จะเป็นการช่วยเพิ่มประสิทธิภา พในการเบรกและเพิ่มความปลอดภัยสูงสุดในการเบรก

    แล้วทำอย่างไรล่ะเราถึงสามารถใช้เบรคได้อย่างปลอดภัย และมีประสิทธิภาพสูงสุดนั่นก็คือ

    การใช้เบรกทั้ง 3 อย่างถูกต้องในเวลาเดียวกัน ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากพอสมควรสำหรับผู้ ที่เข้าใจผิดมาตลอดหรือไม่คุ้นเคยจริงๆ โดยเฉพาะเบรคหลังซึ่งทำงานด้วยเท้านั้นจะมีความประณี ตน้อยกว่าเบรคหน้าซึ่งทำงานด้วยมือ การเกิดล้อหลังล็อคจึงมีอยู่บ่อยๆถึงแม้ว่าจะใช้เบรค หน้าและเบรคหลังพร้อมกันก็ตาม ในเรื่องนี้ก็คงไม่มีวิธีใดดีไปกว่าการฝึกด้วยตนเองจ นสามารถจับความรู้สึกของล้อและน้ำหนักในการเบรคทั้งห น้าหลัง ที่เขาเรียกกันว่า “ฟิลลิ่งเบรก” ได้ โดยปกติเราจะใช้เบรกหน้ามากกว่าเบรกหลังคิดเป็นอัตรา ส่วนประมาณ 60/40 (เบรกหน้า 60% เบรกหลัง 40%) ลักษณะการใช้เบรคที่ถูกต้องคือค่อยๆเพิ่มน้ำหนักในกา รเบรคขึ้นไปทีละนิดๆจนรถหยุดอย่าใช้เบรคในลักษณะ “กระตุก” ซึ่งจะทำให้เกิดอันตรายได้ สำคัญอีกข้อหนึ่งก็คืออย่ารีบกำคลัทช์ บางคนยกคันเร่งปุ๊บก็บีบคลัทช์ปั๊บซึ่งเป็นวิธีที่ผิ ด เราจะใช้คลัทช์ก็เมื่อรถใกล้จะหยุดเท่านั้นเป็นการช่ วยเบรคด้วยเครื่องยนต์ไปในตัว ในขั้นแรกนี้เรายังไม่ต้องไปยุ่งกับเกียร์ว่ามาเกียร ์ไหน เบรกด้วยเกียร์นั้นจนรถหยุดแล้วค่อยว่ากันต่อ เมื่อชำนาญการใช้เบรกหน้า/หลังแล้วจึงเพิ่มการ “เชนจ์เกียร์” หรือลดเกียร์ลงตามลำดับความเร็วจนรถหยุดเป็นการใช้เบ รกครบทั้ง 3 แบบตามตำรา

    สรุปขั้นตอนการใช้เบรกมีดังนี้

    1.เมื่อถึงจุดเบรคก็ให้ยกคันเร่งแล้วเริ่มเบรคโดยใช้ เบรคหน้ามากกว่าเบรคหลังในอัตราส่วน 60/40 (ห้ามบีบคลัทช์ปล่อยไหล ยกคันเร่งเมื่อไหร่ก็เบรกเมื่อนั้น)
    2. บีบคลัทช์ ลดเกียร์ ปล่อยคลัทช์ (ลดทีละเกียร์ให้สัมพันธ์กับความเร็ว)
    3. เมื่อรถใกล้หยุดจึงค่อยบีบคลัทช์เพื่อกันเครื่องดับแ ล้วเอาเท้าซ้ายลงยันพื้น

    อุปสรรคสำคัญของเบรคอย่างถูกต้องที่พบบ่อยที่สุดคือเ บรคหลังมากจนล้อล็อคลื่นไถล สาเหตุมักจะมาจากใช้เบรกหลังมากเกินไปหรือใช้เบรกไม่ นิ่มนวลพอ (ประเภทเท้าหนัก) คือเป็นไปในลักษณะ “กระทืบ” หรือ “กด” ไม่ใช่ “แตะ” นอกจากนี้ก็อาจจะเป็นเพราะว่าบีบคลัทช์เร็วเกินไปจนล ้อหลังไม่มีแรงเฉื่อยก็จะทำให้ล้อล็อคได้ง่าย เหมือนกับเวลาเราขึ้นขาตั้งคู่หมุนล้อแล้วเบรก ล้อก็จะหยุดทันที กับถ้าเราเข็นรถกับพื้นแล้วเบรกด้วยน้ำหนักพอๆกัน ล้อจะหยุดยากกว่า วิธีการแก้ไขก็คือ “บรรจง” ในการใช้เบรกมากขึ้นคือ ค่อยๆเพิ่มน้ำหนักในการเบรก (ทั้งหน้า/หลัง) โดยพยายามจับอาการที่ล้อว่าความเร็วขนาดนี้ เราใช้น้ำหนักเบรกแค่นี้ มันจะมากไปหรือน้อยไป

    สิ่งสำคัญของการควบคุมรถที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ก็คื อ เทคนิคการใช้คันเร่งซึ่งสามารถใช้ให้เราบังคับรถได้ง ่ายขึ้นหลายคนคิดว่าบทบาทของคันเร่งมีเพียงใช้สำหรับ เร่งเครื่องให้รถเคลื่อนที่ไปด้วยความเร็วหรือลดความ เร็วเท่านั้น แต่ผู้ที่มีประสบการณ์หรือมีชั่วโมงบินสูงหน่อย คงจะพอสังเกตได้ว่า การใช้คันเร่งนั้นช่วยใช้ในการบังคับควบคุมรถง่ายขึ้ น ปลอดภัยขึ้นโดยไม่รู้ตัว มันเป็นเรื่องค่อนข้างยากพอสมควรที่จะอธิบายถึงการใช ้คันเร่งให้ถูกวิธี นอกเสียจากว่าจะลองลงมือฝึกฝนด้วยความสังเกตสังกาและ เรียนรู้ด้วยตัวเองเราสามารถบอกถึงความสำคัญและประโย ชน์ของการใช้คันเร่งได้ แต่เราบอกไม่ได้ว่าเราควรจะใช้คันเร่งอย่างไรสำหรับช ่วยควบคุมรถให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ เพราะมันมีตัวแปรหลายอย่างเข้ามาร่วม เป็นต้นว่า ความเร็วของรถ สภาพทางวิ่ง ทิศทางของรถ หรือแม้กระทั่งน้ำหนักและกำลังของรถก็มีส่วนเกี่ยวข้ องด้วย ประสบการณ์จากการฝึกฝนและเรียนรู้ด้วยตนเองจะเป็นพื้ นฐานที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ให้เข้ากับสถานการณ์ได้

    ทำไมคันเร่งจึงช่วยในการควบคุมรถได้?เป็นคำถามที่ผมเ ดาเอาว่าน่าจะอยู่ในใจของหลายๆคน ทั้งๆที่รู้กันมาแต่ไหนแต่ไรแล้วว่าเมื่อพูดถึง “การบังคับควบคุม” แล้ว เรามักจะมองไปถึงระบบบังคับเลี้ยวหรือแฮนเดิ้ลบาร์ซะ เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งแท้ที่จริงแล้วการบังคับควมคุมนั้นหมายรวมถึงหลา ยๆอย่างที่เกี่ยวกับการเคลื่อนที่และหยุดรถ ทั้งแฮนด์ คันเร่ง เบรก คลัทช์ ไปจนถึงเกียร์ ทั้งหมดนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการบังคับควบคุมทั้งสิ ้น ตัวอย่างเช่น ขณะที่เราพารถเข้าโค้งด้วยความเร็วระดับหนึ่งจู่ๆ “เกียร์หลุด” ตกมาอยู่เกียร์ว่างซะเฉยๆ ร้อยทั้งร้อยถ้าเป็นจังหวะที่จะต้องเปิดคันเร่งแล้วต ้องมีการเสียจังหวะแน่นอน เพราะเกิดความไม่สัมพันธ์กันระหว่างความเร็ว คันเร่งและเกียร์

    เราจะยกตัวอย่างอีกหนึ่งเหตุการณ์ซึ่งพบบ่อยที่สุดก็ คือการ บีบคลัทช์เข้าโค้ง ในจังหวะที่ยกคันเร่งเพื่อเข้าโค้งนั้น มักจะตามมาด้วยการบีบคลัทช์แล้วปล่อยไหลเข้าโค้ง จะปล่อยคลัทช์อีกทีก็ตอนที่ต้องการจะเร่งออกจากโค้งซ ึ่งในจังหวะนี้จะมีอาการ “กระตุก” หรือ “สะดุ้ง” เนื่องจากความไม่สัมพันธ์กันระหว่างรอบหมุนของเครื่อ งกับรอบหมุนของล้อหลัง อาการกระตุกหรือสะดุ้งนี้จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับคว ามต่างกันของรอบเครื่องและรอบล้อ ยิ่งรอบต่างกันมากอาการก็ยิ่งมาก อย่างเช่นโค้งเดียวกันความเร็วเท่ากันเข้าด้วยวิธีบี บคลัทช์ปล่อยไหลเหมือนกัน แต่ครั้งหนึ่งเข้าด้วยเกียร์ 2 กับอีกครั้งเข้าด้วยเกียร์ 3 ครั้งที่เข้าด้วยเกียร์ 2 จะมีอาการมากกว่า เนื่องจากรอบเครื่องหมุนเร็วกว่าความเร็วรอบของล้อมา กกว่าเกียร์ 3
    แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย emoska : 24-08-2009 เมื่อ 19:36
      IP
  2. lamud said:

    Talking

    พี่เปี๊ยก มีแบบที่เป็นไฟล์เสียงมะ ขี้เกียจอ่านอ่ะ
      IP
  3. emoska said:

    มาตรฐาน

    ปักแล้วเน้อพี่เปิ๊ยก
      IP
  4. Emmy's Avatar

    Emmy said:

    มาตรฐาน

    สรุบให้ด้วยครับพี่
      IP
  5. lamud said:

    Talking

    เหนมะ....มีแต่คนขี้เกียจอ่านนนem98
      IP
  6. NK's Avatar

    NK said:

    มาตรฐาน

    อ้างอิง ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ lamud อ่านข้อความ
    เหนมะ....มีแต่คนขี้เกียจอ่านนนem98
    หุ..หุ..สองคนนี้ยังไง อ่านเท้อ..เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่
    เอ้า..เอาไปอีก อ่านซะก่อนไปเขาใหญ่

    สาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุทางถนนมักเกิดจากผู้ขับขี ่ไม่มีวินัยจราจร ประมาท คึกคะนอง เมาแล้วขับ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนก่อให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิตแ ละทรัพย์สินทั้งสิ้น กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย ขอแนะนำข้อปฏิบัติเพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ ดังนี้

    การทิ้งระยะห่างจากรถคันหน้า ควรทิ้งระยะห่างให้เหมาะสมกับความเร็วที่ใช้ โดยรักษาระดับความเร็วให้เท่ากับรถคันหน้า นั่นคือ เมื่อรถคันหน้าผ่านบริเวณจุดใดจุดหนึ่งแล้ว รถของผู้ที่ขับตามหลังจะต้องผ่านจุดเดียวกัน ในเวลาประมาณ 2 วินาที หากเร็วกว่านั้น แสดงว่า การทิ้งระยะห่างจากรถคันหน้าน้อยเกินไป อาจทำให้เบรกรถไม่ทันเมื่อรถคันหน้าหยุดกะทันหัน อาจเกิดการชนท้ายได้การใช้ความเร็วตามกฎหมายจราจร สำหรับรถยนต์นั่งในเขตกรุงเทพมหานคร เขตเมืองและเขตเทศบาล ใช้อัตราความเร็วไม่เกิน 80 กม./ชม. นอกเขตไม่เกิน 90 กม./ชม. ส่วนรถกระบะน้ำหนักรวมบรรทุกเกิน 1,200 กิโลกรัม ในเขตกทม. เขตเมือง เขตเทศบาล ใช้อัตราความเร็วไม่เกิน 60 กม./ชม. นอกเขตดังกล่าวไม่เกิน 80 กม./ชม.
    หากมีป้ายกำหนดความเร็วอยู่ข้างทางต้องปฏิบัติตามที่ กำหนดอย่างเคร่งครัดการขึ้นทางลาดชันหรือเนินเขา ต้องเลือกใช้เกียร์ให้เหมาะสม โดยรอบเครื่องยนต์อยู่ที่ประมาณ 2,000-3,000 รอบต่อนาที เพราะรอบการวิ่งในระดับนี้ เครื่องยนต์จะมีกำลังฉุดมากที่สุด การใช้รอบเครื่องยนต์สูงๆขณะขึ้นทางชันจะทำให้สิ้นเป ลืองน้ำมันและเครื่องยนต์สึกหรอโดยไม่จำเป็น
    การลงทางลาดชันหรือเนินเขา ห้ามดับเครื่องยนต์ ปลดเกียร์ว่างหรือเหยียบคลัตช์ระหว่างการลงเขาอย่างเ ด็ดขาด เพราะจะทำให้รถเสียการทรงตัวและควบคุมไม่ได้ ควรใช้เกียร์ต่ำกว่าปกติเพื่อหน่วงความเร็วของรถไว้แ ละใช้เบรกลดความเร็วเป็นระยะๆ
    การแซง ต้องแซงทางด้านขวาเสมอ เมื่อแซงผ่านไปแล้วให้ขับเป็นแนวตรงทิ้งระยะห่างจากร ถคันที่ถูกแซงพอสมควร เพื่อให้รถคันที่ถูกแซงมีเวลาตั้งตัว อย่ากลับเข้าเลนซ้ายในลักษณะเลี้ยวตัดหน้ารถคันที่ถู กแซงอย่างกระชั้นชิด ส่วนกรณีที่สามารถแซงซ้ายได้ ให้สังเกตรถคันที่จะแซง หากเปิดสัญญาณไฟเลี้ยวขวาก็สามารถแซงทางซ้ายได้โดยไม ่ผิดกฎแต่อย่างใด
    นอกจากนี้ ไม่ควรเร่งเครื่องแข่งกับรถคันที่กำลังแซงอยู่อย่างข าดสติ ควรปล่อยให้รถคันที่ต้องการแซงผ่านไปอย่างสะดวก หากถูกรถคันอื่นแซงด้วยความเร็วที่มากกว่า ควรขับรถให้ช้าลงและให้คันที่ต้องการแซงขึ้นหน้าไปก่ อน และหากได้รับสัญญาณแซงจากรถคันหลัง ผู้ขับขี่ที่ถูกขอทางต้องให้สัญญาณเลี้ยวซ้ายตอบและล ดความเร็วลงขับรถชิดด้านซ้ายของทางเดินรถ เพื่อให้รถคันที่แซงผ่านขึ้นหน้าไปได้อย่างปลอดภัยกา รห้ามแซง ผู้ขับขี่ไม่ควรแซงในขณะที่รถกำลังขึ้นทางลาดชันหรือ อยู่บนทางโค้ง ทางร่วม ทางแยก วงเวียน เกาะกลาง ทางเดินรถที่ตัดข้ามทางรถไฟหรือเส้นทางที่มีหมอก ฝน ฝุ่น ควัน จนทำให้มองไม่เห็นทางข้างหน้า เป็นต้น
    การขับรถบนทางโค้ง ให้ลดความเร็วก่อนที่จะเข้าโค้งและเร่งความเร็วตั้งแ ต่กึ่งกลางโค้งเป็นต้นไปจนกระทั่งพ้นออกจากโค้ง ขณะอยู่ในโค้งไม่ควรเหยียบเบรกอย่างรุนแรง ห้ามปลดเกียร์ว่างหรือเหยียบคลัตช์ระหว่างการเข้าโค้ ง เพราะจะเกิดแรงเหวี่ยงทำให้รถหลุดออกจากโค้งได้การขั บขี่ในเวลากลางคืน ควรตรวจดูระบบไฟหน้าและไฟท้าย หากไม่มีรถสวนมาควรใช้ไฟสูงและลดไฟต่ำลงทันทีเมื่อมี รถสวนมา พยายามขับรถให้ชิดทางเส้นแบ่งกึ่งกลาง เพื่อป้องกันการชนคน สัตว์หรือรถที่จอดอยู่ริมข้างทางการใส่ใจกับสิ่งเล็ก น้อยที่บางครั้งอาจมองข้ามไป นอกจากจะช่วยลดการสูญเสียได้แล้ว ยังช่วยป้องกันมิให้บุคคลรอบข้างที่เกี่ยวข้องต้องได ้รับผลกระทบจากความประมาทของผู้ขับขี่อีกด้วย
      IP
  7. lamud said:

    Talking

    สาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุทางถนนมักเกิดจากผู้ขับขี ่----> สายตาไม่ดี หรือเรียกว่า สายตาเซ่อ


    นั่นคือแป้งเอง 555+
      IP
  8. ตุ๊กติ๊ก's Avatar

    ตุ๊กติ๊ก said:

    มาตรฐาน

    ฮู..ฮู..ฮ่า
      IP