
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ
ฝูงบิน px.
หายใจโล่งกันไปสำหรับชาว "หงส์แดง" ที่กลับมาเก็บชัยชนะได้อีกครั้ง แถมยังเป็นชัยชนะนัดสำคัญด้วยในการสยบ "ปีศาจแดง" ได้อีกครั้งเป็นนัดที่ 3 ติตด่อกัน ด้วยฟอร์มการเล่นที่ต้องบอกว่าสมควรที่จะเป็นผู้ชนะจ ริงๆในเกมนี้
พูดถึงเรื่องฟอร์มแล้วนี่แหละคือเสน่ห์ของเกม "แดงเดือด" ของแท้ ที่เราไม่สามารถจะนำเหตุผล ตรรกระอะไรมาใช้ได้เลย เกมระหว่าง ลิเวอร์พูล กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คือเกมที่อะไรก็เกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง
ฟอร์มการเล่น ตัวผู้เล่น แทบไม่มีผลต่อผลการแข่งขัน สิ่งที่จะตัดสินกันคือผลงานของนักเตะ 11 คนและการวางหมากแก้เกมของผู้จัดการทีมที่ยืนอยู่ข้าง สนามเท่านั้น ซึ่งในเกมนี้ก็ต้องบอกว่าเป็นอีกครั้งที่ ราฟาเอล เบนิเตซ ดูจะ "จับทาง" ได้แล้วว่าจะเอาชนะเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ได้อย่างไรบ้าง
กลหมากของลิเวอร์พูล ในเกมนี้ถูกต้องเกือบทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นเกมรับหรือเ กมรุก การปิดป้องจุดอ่อนตัวเอง การจู่โจมจุดอ่อนคู่แข่ง ทั้งหมดนี้ ราฟา กำหนดมาได้อย่างสมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง และโชคดีที่นักเตะลิเวอร์พูล ก็ตอบสนองความต้องการของนายใหญ่ได้อย่างดี
อาจเป็นเพราะนักเตะหงส์แดงก็อยากจะหยุดผลงานที่ย่ำแย ่เอาไว้แต่เพียงเท่านี้ก่อน จึงพยายามตั้งใจเล่นกันมากเป็นพิเศษ ดังจะเห็นได้ว่าทุกคนเล่นกันอย่างตั้งใจมาก แทบไม่ก่อให้เกิดความผิดพลาดง่ายๆที่เป็นเหตุให้ทีมแ พ้หลุดลุ่ยถึง 6 นัดไปแล้วในฤดูกาลนี้
ขณะที่ทางแมนฯ ยูไนเต็ด นัดนี้เล่นกันช้าเกินคาด การกลับมาของ เวย์น รูนี่ย์ ไม่มีผลอะไรตราบที่บอลเดินทางไปไม่ถึงเท้าของ "เจ้าหมูปรมาณู" เพราะเกมแดนกลางที่มี กิ๊กส์-สโคลส์ รวมถึง คาร์ริค ด้วยนั้น เล่นกันช้าเกินไปจนไม่สามารถจะปั้นแต่งเกมได้ถนัด เพราะจะโดนนักเตะลิเวอร์พูล เพรสซิ่งเข้าถึงบอลตลอดเวลา
ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าการตอกส้นเขี่ยบอลสวยๆ ซึ่งก็เป็นอีกครั้งที่ "เบิร์บ" ไม่สามารถแสดงให้เห็นได้ว่าเขาพร้อมจะเป็นที่พึ่งของ ทีมในเกมใหญ่ๆแบบนี้
แต่จุดที่น่าเป็นห่วงจริงๆและน่าห่วงมากกว่าผลการแข่ งขัน น่าจะเป็น "บ่อน้ำมัน" ในแนวรับที่เวลานี้ถูกตอกย้ำให้เห็นชัดอีกครั้งว่าถ้ า เฟอร์กี้ ไม่แก้ไข ต่อไปทีมอาจจะลำบากได้ในภายภาคหน้า
บ่อน้ำมันที่ว่าคือ ริโอ เฟอร์ดินานด์ ที่เชื่อว่าหลังจากนี้จะยิ่งโดนกระแสกดดันจากทั้งสื่ อและแฟนบอลกระหน่ำเละไม่แพ้ที่ เจมี่ คาร์ราเกอร์ (ซึ่งเกมนี้รอดตัว 2 ครั้งจากการเสียบ คาร์ริค ในเขตโทษและทำฟาวล์โอเว่น ในจังหวะจะหลุดเดี่ยว ที่เป็นใบแดงได้ทั้งสองครั้ง!) ที่โดนยำเละในช่วงก่อนหน้านี้
ความจริงแล้ว ริโอ ก็ไม่ได้ทำผิดพลาดอะไรมากนักในเกมนี้ แต่สิ่งที่ตอกย้ำภาพของควาเป็นบ่อน้ำมัน คือการปล่อยให้ ตอร์เรส หลุดเข้าไปยิงแสกหน้าเอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ ที่นอกจากจะเช็คไลน์พลาด ประกบห่าง แล้วยังตามมาสกัดไม่ทันอีก
ก่อนหน้านี้ ริโอ ก็โดนเพ่งเล็งมาหลายครั้งเพราะมักจะมีการผิดพลาดง่าย ๆแบบนี้ให้เห็นเป็นประจำ แต่ส่วนใหญ่ก็มักจะรอดตัวเพราะแมนฯ ยูไนเต็ด นั้นเป็นทีมที่เก่งและพร้อมจะพลิกสถานการณ์กลับมาได้ เสมอ ทำให้ความผิดพลาดของกองหลังเจ้าของสถิติค่าตัวแพงที่ สุดในอังกฤษ มักจะถูกมองข้ามไปก่อนเสมอ
แต่สำหรับครั้งนี้ไม่ใช่ ริโอ จะโดนขุดคุ้ยความผิดพลาดมาเล่นงานแน่นอน ซึ่งน่าสนใจว่า เฟอร์กี้ จะทำอย่างไรในการกระตุ้นฟอร์มของกองหลังค่าตัว 30 ล้านคนนี้ ซึ่งเล่นตกลงไปเยอะเพราะว่าบาดเจ็บแทบตลอดเวลาในช่วง ก่อนหน้านี้
อย่าลืมว่าที่ข้างสนามยังมี จอนนี่ อีแวนส์ ที่พร้อมจะลงสนามอยู่ บางทีการดร็อป ริโอ บ้างก็อาจจะเป็นผลดีก็ได้อย่างไรก็ดี การแพ้ของแมนฯ ยูไนเต็ด นัดนี้นั้นแม้จะไม่ส่งผลร้ายแรงอะไรนักเมื่อเทียบกับ ลิเวอร์พูล ที่หากแพ้ก็หมดลุ้นทันทีเพราะจะแพ้ถึง 5 จาก 10 นัด แต่พอชนะจำนวนนัดที่แพ้ 4 เมื่อเทียบกับของแมนฯ ยูไนเต็ด และเชลซี ที่แพ้ทีมละ 2 ก็ถือว่าไม่ห่างเกินจนน่าเกลียด
แต่มันก็เป็นการเปิดประตูการแข่งขันในฤดูกาลนี้ให้กว ้างมากขึ้นไปอีก
ก่อนหน้านี้ ราฟา พยายามจะบอกทุกครั้งเวลาที่แพ้ว่า ฤดูกาลนี้พรีเมียร์ลีกนั้นแข็งขึ้นมาก ทีมใหญ่ๆจะแพ้หรือเสมอมากขึ้นเมื่อเจอกับทีมระดับกลา งหรือระดับล่าง ซึ่งในฤดูกาลนี้จะเห็นได้ว่า ลิเวอร์พูล ก็แพ้ต่อสเปอร์ส, แอสตัน วิลล่า และซันเดอร์แลนด์ ส่วนเชลซี ก็เคยแพ้วีแกน
แมนฯ ยูไนเต็ด ก็เคยแพ้ เบิร์นลี่ย์ อาร์เซนอล เองก็เคยแพ้ แมนฯ ซิตี้ รวมถึงล่าสุดโดนเวสต์แฮม ไล่ตีเสมอได้ทั้งที่นำก่อน 2-0
นั่นแปลว่ามาตรฐานของพรีเมียร์ลีกในฤดูกาลนี้นั้นสูง ขึ้น ทีมขนาดกลางและขนาดเล็กก็มีศักยภาพพอที่จะสู้กับทีมย ักษ์ใหญ่ได้ถ้ามีการวางแผนมาดีๆ และสิ่งที่จะตัดสินแชมป์ลีกในฤดูกาลนี้ก็อาจจะไม่ใช่ เกมที่ทีมระดับ "บิ๊กโฟร์" ชนกันเองเหมือนอดีตอีกต่อไป
ก็ถือเป็นโชคดีของแฟนบอลไปที่จะได้ติดตามฟุตบอลพรีเม ียร์ลีกที่น่าจะขับเคี่ยวกันสูสีที่สุดในรอบหลายปี บางทีอาจจะมันที่สุดนับตั้งแต่มีการเปลี่ยนจากดิวิชั ่น 1 มาเป็นพรีเมียร์ลีก เมื่อปี 1992 ด้วย
ประตูยังเปิดกว้างสำหรับทุกทีม ระยะทางยังอีกยาวไกล คงไม่ผิดนักหากจะบอกว่าทุกคนยังมีสิทธิ์ลุ้นแชมป์เท่ าเทียมกันด้วยประการทั้งปวง
ปล.คราวหน้าก็อย่าทำมาปากดีกันล่ะ หมูแดง อิ..อิ..