เล่นรถเก่าอายุประมาณ40ปี ผมว่าต้องมีการซ่อมบำรุงกันบ่อยๆ ควรรู้จักอู่ที่มีประสบการ์ณและไว้ใจได้ด้วยนะคับ แล้วก็อันนี้ได้อ่านยังคับที่พี่กุ้งเขาก็อปมาให้อ่า น ลองดูคับ
ประวัติGTOไปรื้อๆมาครับเผื่อใครยังไม่เคยอ่าน
Mitsubishi Colt Galent GTO
จิตวิญญาณ The Grand Turismo Omorogata กับตำนานอีหนึ่งหน้าของ Japanese Secial Car
- เปิดตำนาน ประวัติของ Colt Galant GTO จริงๆ จุดกำเนิดของรถรุ่นนี้ จะเริ่มในเดือน พฤษภาคม ปี 1967 โดย Mr.Hiroaki Kamisago เป็นหัวหน้าฝ่ายปรับปรุงและพัฒนาผลิตภัณฑ์ของ MITSUBISHI CORPORATION ประเทศญี่ปุ่น ได้รับหน้าที่จาก Mr.Makita ซึ่งเป็นประธานบริษัทในสมัยนั้น ให้ออกแบบรถสปอร์ตให้กับบริษัท กำหนดไว้เลยว่าจะต้องเป็น Special Car American Style ของค่าย โดยเฉพาะ จากเดิมก็มี Colt Galent อยู่แล้ว ถึงแม้จะเป็นตัว 2 ประตู แต่มันก็คือ เก๋ง 2 ประตู นั่นเอง ความเป็นสปอร์ตยังไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย จึงได้เริ่มผลิตรถรุ่นนี้ออกมา ตอนที่ร่าง Sketch Model เขาก็ได้แรงบันดาลใจมาจาก FORD MUSTANG COUPE เลยเอาทรงมันมาเป็นแบบหลัก จะเรียกว่า JAPANESE MUSTANG OR MINI MUSTANG ก็แล้วแต่จะเรียกกันครับ ด้วยการออกแบบภายนอกเป็นแบบหลังคาแข็ง ไม่มีเสาหลังคากลางรถ หรือที่เรียกว่า Hardtop ประตูไม่มีกรอบกระจก (Frameless Door)ด้านท้ายใช้ดีไซน์ที่โดดเด่น มีเสน่ห์ตรง "ตูดเป็ด" (Ducktail)นั่นเอง สำหรับการออกแบบรถรุ่นนี้ ทาง MITSUBISHI CORPORATION ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งแยกสายการผลิตออกมาต่างหาก จากบริษัทแม่จริงๆ ก็คือ Mitsubishi Heavy Industries อันนี้จะเน้นผลิตเครื่องยนต์กลไกต่างๆ ตอนหลังก็แยกสาขาไปอีกมากมายหลายผลิตภัณฑ์...
- รถรุ่นนี้ร่วมมือ ค้นคว้าวิจัยทางด้านเทคโนโลยีกับทางบริษัท CHRYSLER MOTOR สหรัฐอเมริกา โดยวิจัย Light Passenger Car ด้วยกัน ตอนหลังกลายเป็น พันธมิตร รถ Mitsubishi ในอเมริกาก็จะมีฝาแฝดเป็น Dodge หรือ Chrysler ไงครับ ก็เป็นรถที่ใช้ คอมพิวเตอร์ ในการออกแบบอีกด้วย พอวาดๆเขียนๆ เป็นรูปร่างแล้ว ก็ตั้งชื่อว่า Colt Galent GTO ซึ่งคำว่า GTO ก็ย่อมาจากคำว่า The Grand Turismo Omorogata แปลเป็นไทยเราได้ว่า รถยนต์ที่ถูกปรับปรุงให้เป็น Grand Touring Car จากรูปทรงที่ ลื่นไหล เน้นในด้านหลักอากาศพลศาสตร์ ซึ่งเป้นความล้ำสมัยในตอนนั้นเป็นอย่างมาก แถมยังออกแบบให้เป็น คูเป้ 4 ที่นั่ง ซึ่งรถสปอร์ตขนาดเล็กสมัยก่อน ด้านหลังมักจะเป็น Dog Seat ซะส่วนใหญ่ ก็หมายความว่า รถคันนี้ จะใช้เดินทาง และเป็นรถครอบครัว(เล็กๆ)ได้อีกด้วยครับ..
- หลังจากที่ใช้เวลาพัฒนาและวิจัยมาเกือบ 2 ปี ก็ออกสู่สายตาประชาชี ณ งาน Tokyo Motor Show ครั้งที่ 16 ในเดือนตุลาคม ปี 1969 ก็จัดการเสนอ ตัวต้นแบบ (Prototype) ออกมายั่วน้ำลายกันก่อน โดยใช้ชื่อว่า GTX-1 หลังจากนั้นอีกปีกว่าๆ ในเดือนธันวาคม ปี1970 ก็ได้ฤกษ์เปิดผ้าคลุม GTO ภาคสมบูรณ์ ใช้รหัสตัวถังว่า A53C โดยมีรุ่น M-1 และ M-2 ใช้เครื่อง 4G32 ขนาด 1.6 ลิตร SOHC โดยในรุ่น M-2 จะแรงกว่า เพราะใช้คาบูเรเตอร์คู่ Twin SU มี 110 แรงม้า ส่วนรุ่น M-1 จะใช้คาร์บูเดี่ยว กำลังลดลงมาเหลือ 100 แรงม้า ก็เรียกว่า ไม่เลว เลยเหมือนกัน (โปรดนึกถึงเมื่อก่อน 100 ก็แรงแล้วนา) จุดเด่นของรุ่น M ก็จะสังเกตได้ง่ายๆครับ ที่ "ไฟท้าย" ก็จะเป็นทรง สี่เหลี่ยมสี่อัน ไปดวงสีแดงทั้งหมด กระจังหน้าจะเป็นทรงสี่เหลี่ยมมีเส้นคั่นกลาง พวงมาลัยตรงแป้นกลางก็จะมีปั้มทรงเหมือน หมุดย้ำหกตัว อยู่รอบๆ ปุ่มกดแตรจะเป็นทรงสี่เหลี่ยมตรงก้านพวงมาลัย..
- อีกรุ่นที่ถือว่าเป็น Top Of The Line นั่นก็คือรุ่น MR ย่อมาจากคำว่า MITSUBISHI RACING เครื่องยนต์เป็น 4G32 ตัวพิเศษ เพราะฝาสูบเป็นแบบ DOHC หรือ ทวินแคม ซึ่งในสมัยนั้นถือเป็นเครื่อง ทวินแคมตัวแรกๆ และ ตัวเดียวสำหรับรถค่ายนี้ จึงเป็นอะไรที่เป็นเอกลักษณ์มาก เรี่ยวแรงเพิ่มเป็น 125 แรงม้า ที่ 6800 รอบ (จัดใช่เล่น) ความเร็วปลายทำได้ 200กม./ชม. ระบบคาร์บูเรเตอร์เป็นของ SOLEX คู่ รถรุ่นนี้ถือเป็นอะไรที่พิเศษสุดๆ จุดแตกต่างภายนอก ตรงฝากระโปรงก็จะมี Scoop บางคนก็เรียก Hood สองอัน นี่แหละที่เป็นจุดเด่นของ MR เลย ก้านปัดน้ำฝนเป็นโครเมี่ยม กระจังหน้าทรงเหมือนรุ่น M ธรรมดา แต่เส้นโครเมี่ยมจะหนาและเงากว่า สติ๊กเกอร์เส้นคาดข้างรถ ด้านท้ายจะยกหางตั้งเป็นมุมฉาก ขึ้นไปจนถึงระดับฝาท้าย แต่ส่วนอื่นก็เหมือนกันครับ
- พอมาถึงเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1972 ก็มีการ "เปลี่ยนรุ่น" ไมเนอร์เชนจ์ใหม่อีกครั้งหนึ่ง ก็จะเปลี่ยนชื่อรุ่นเป็น "X Series" โดยมีรุ่น X-1 และ X-2 รหัสตัวถัง A55C จุดแตกต่างจาก M Series ก็มีนิดหน่อยที่เห็นก่อนเลยก็คือ ไฟท้าย ทรงสี่เหลี่ยมเหมือนเดิมแต่ สลับสี คู่ในจะเป็น สีส้ม ส่วนเครื่องยนต์ก็มีการเปลี่ยนแปลงจาก 4G32 ไปเป็น 4G35 ความจุเพิ่มจากเดิมไปเป็น 1.7 ลิตร โดยเน้นแรงบิดมากขึ้นกว่าเดิม รุ่น X-1 ก็จะเป็นคาร์บูเดี่ยว X-2 ก็จะเป็นคาร์บูคู่ เหมือนกับรุ่น M เรี่ยวแรงก็จะเพิ่มขึ้นมาอีก 5 แรงม้า อยู่ที่ 105 และ 115 แรงม้าตามลำดับ ส่วนรุ่น MR ก็ยังมีขายควบคู่กันไปอยู่..
- ช่วงปี 1972 นี้ก็มี GTO "ตัวประหลาด" คือรุ่น R73-X ใช้เครื่องรุ่น R39 2.0 ลิตร ตามข้อมูลว่าเป็นเครื่องสำหรับการแข่งขัน(Competitio n Only) เรี่ยวแรงมากกถึง 240 แรงม้า แต่มีจำนวนน้อยมาก ส่วนใหญ่ก็จะอยู่ในพิพิธภัณฑ์เกือบทั้งหมด พอมาถึงปี 1973 ก็เป็นข่าวร้ายของคนที่ชื่นชอบ MR เพราะรุ่นนี้ ถูกยกเลิกสายการผลิต ไปในปีนี้เอง โดย MR จะผลิตออกมาทั้งหมด 850 คัน ในระยะ 2 ปี กับอีก 2 เดือน โดยประมาณ ถ้าจะพูดจากใจของนักเล่นรถจริงๆแล้ว ก็มีความเห็นตรงกันว่า อยากจะมี MR ต่อไปมากกว่า
- ในปี 1973 นี้ GTO ก็ได้ อัพเกรด ขึ้นไปอีก เปลี่ยนเครื่องใหญ่ขึ้นเป็น 4G52 แบบ SOCH ความจุ 2.0 ลิตร โดยเพิ่มไลน์ออกมาเป็น 2000 SL แรงน้อยสุด เพราะใช่ คาร์บูเดี่ยว 115 แรงม้า อัพขึ้นมาอีกนิด กับ 2000 GS และ 2000 GSR (ตัวหลังนี่รุ่นท๊อป) เครื่องเดียวกัน แต่ใช้คาร์บูคู่ เบิกแรงม้าออกมาได้ถึง 125 ตัว รหัสตัวถังเปลี่ยนเป็น A57C จุดเปลี่ยนแปลงก็จะสังเกตได้ชัดอยู่เยอะเหมือนกัน เริ่มจากกระจังหน้า ก็จะเป็นทรงสี่เหลี่ยมเหมือนกับ MR แต่ถ้ามองจากมุมด้านข้างก็จะเห็นเส้นแหลม เป้นสันยื่นโด่งออกมา (ถ้าเป็นรุ่นหลังจะเป็นซี่นอน) ไฟท้าย เปลี่ยนใหม่ เป็นทรง นอนยาว เลนไฟแบ่งเหมือน เสี้ยววงเดือน ทรงนี้บ้านเราจะเห็นได้เยอะกว่า (มันชักจะเหมือน มัสแตง เข้าไปทุกที) ช่องลมที่เสาหลัง จะเป้นซี่ถี่ๆ ติดกัน ถ้าเป็นรุ่น M และ X จะยกระดับเป็น 3 ชั้น...
- เกือบลืมพูดไปว่า ในช่วงตั้งแต่ปี 1973 ก็จะมีรุ่น 1700 SL ขายควบคู่ไปกะรุ่น 2000 ด้วยนะครับ เครื่องเป็น 4G35 คาร์บูเดี่ยว(เหมือนตัว X-1) ส่วนตัวคาร์บูคู่ใน X-2 ก็ยกเลิกไป สำหรับภายในยังคงเดิมแต่เปลี่ยน พวงมาลัยใหม่ แป้นแตรจากที่เคยอยู่ตรงก้าน ก็ย้ายมาอยู่ตรงกลาง ตัวแป้นจะเป็นทรงกลมนูนสูง ก้านพวงมาลัยจะเป็นรูสี่เหลี่ยม วางเรียงกัน อีกแบบก็เป็นรูยาว แล้วแต่ปีที่ผลิต ถ้าเป้นรุ่น GSR เบาะจะเป็นตาไก่และที่พนักพิงเบาะจะปักโลโก้ GSR ไว้ด้วย แถมล้อมีขอบโครเมียมติดมาให้อีก สมรรถนะของรุ่น 2000GSR นี่ก็ไม่เบาความเร็วปลายทำได้ถึง 185กม./ชม. ส่วนควอเตอร์ไมล์ เคลมไว้ที่ 16.5 วินาที ก็เร็วแล้วนะในสมัยนั้น
- พอมาถึงปี 1975 GTO ก็ยุบรุ่น GS ไป เอารุ่น SL-5 เข้ามาแทน วงจรชีวิตของ GTO ถูกผลิตจนถึงปี 1977 ก็หยุดสายการผลิตไป เป็นการปิดฉากลงอย่างสมบูรณ์ และทิ้งตำนานอันยิ่งใหญ่มาจนถึงปัจจุบัน.....
- GTO IN THAILAND....
ถ้าจะพูดถึง GTO ในไทยแล้ว ก็มีข้อมูลพอที่จะเรียบเรียงได้ว่า จัดจำหน่ายโดยบริษัท สิทธิผลมอเตอร์ ซึ่งเป็นผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ MITSUBISHI ในสมัยนั้นรายละเอียดต้องขออภัยจริงๆครับ เพราะว่าบริษัทก็ได้เปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว ข้อมูลเก่าๆ หรือคนเก่าๆ จึงไม่อยู่ให้เราสืบค้นกัน เจอแต่ว่ารุ่น 2000GS เปิดราคามาที่ 195000บาท (ราคานี้สำรวจครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2517) ส่วนอื่นๆขอเสนอรายละเอียด จิปาถะ ก็แล้วกันครับ จุดดีของGTO รุ่นนี้ ตามที่ คนรุ่นเก่า เขาว่ามา สมัยยนั้นจะจะนิยมตัว 2000 กันซะมาก เพราะแรงดี ส่วนรุ่น MR ยังไม่ต้องฝันถึง เพราะยังไม่มีเข้ามาครับ จะสั่งก็แพง คนสมัยนั้นก็คิดว่า ไหนๆถ้าแพงแล้ว ก็จะหันไปเล่นรถคลาสสูงกว่ากันทั้งนั้น...
- แต่จุดอ่อนก็มีครับ ก็คือ เครื่องแรงกว่ารถ ช่วงล่างขับเร็วๆความมั่นคงก็จะน้อยลง เพราะยังเป็นคานแข็งกะแหนบอยู่(ในด้านหลัง)ก็อาศัยวิ ่งทางตรงเป็นหลัก แต่ก็ไม่ใช่ปัญหา ของแต่งก็มีใส่เข้าไป ส่วนเบรคอันนี้ก็รับเครื่องไม่ค่อยไหวเหมือนกัน ถ้าจะขับเต็มสมรรถนะต้องยกใหม่ทั้งเซ็ต มาถึงตอนปัจจบันนี้ GTO ก็ถูกกระแส Retro ปลุกขึ้นมาอีกครั้ง ตัวรถถ้าจะซื้อมาทำก็หาสภาพแห้งๆไว้ก่อน แต่ส่วนใหญ่มักจะเจอรถที่ดัดแปลงมามากมาย เพราะช่วงสักสิบกว่าปีที่แล้ว GTO หรือรถเก่ารุ่นอื่นๆ จะถูกมองว่าเป็น ของถูก ไม่ค่อยมีการบำรุงรักษา ส่วนใหญ่ก็ใช้กันตามอัตภาพ ถูกดัดแปลงซะจำเค้าเดิมไม่ได้ก็เยอะ ถ้าจะหาก็ต้องเฟ้นหน่อย ส่วนสภาพเดิมๆก็น่าจะมีอยู่บ้าง อาจจะอยู่ตามต่างจังหวัดใหญ๋ๆก็ได้ ส่วนเรื่องของอะไหล่ ในสมัยก่อนอาจจะมีไม่เยอะมาก เพราะรถมีไม่มากนัก มาปัจจุบันเลยเล่นกันยากนิดนึง บางทีก็โดน กว้าน จากบรรดาพ่อค้าต่างๆ โดยเฉพาะของรุ่น M Series ที่เป็นรุ่นแรก โดนสอยไปเก็บไว้ซะเยอะ (คนจะเล่นทีหลังหากันตาย) จะเอาก็ต้องอาศัยสั่งจากนอก หรือ บิด จะ Yahoo หรือ Ebay ก็ตามสะดวก






ตอบ-อ้างอิงข้อความ

...แต่กันชนหน้าดูแปลก ๆ น๊ะครับ



Bookmarks